คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 213

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 522 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการยกฟ้องจำเลยที่ไม่เคยอุทธรณ์ หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงและพบว่าจำเลยมิได้ประมาท
คดีที่โจทก์ฟ้องว่ารถชนกันเกิดจากการกระทำโดยประมาทของทั้งฝ่ายจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่า เหตุเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยคนใดบ้างหรือว่า ทั้งสองคนเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ว่า เหตุเกิดจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 2 ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 1 มิได้กระทำโดยประมาทด้วย ศาลอุทธรรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกเงินจากผู้ต้องหาเพื่อไม่จับกุม ไม่ถือเป็นการคุมขังและเรียกทรัพย์สินโดยมิชอบ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าหน้าทีตำรวจ มีหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ได้ร่วมกันตรวจค้นพบกัญชาและกล้องสูบกัญชาซึ่งเป็นของผิดกฎหมายในบ้านพักขง จ. แล้วไม่จับกุมนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายตามตำแหน่งหน้าที่ของตน แต่กลับร่วมกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือนเรียกร้องเอาเงินจาก ว.เพื่อไม่กระทำการจับกุมตามหน้าที่แล้วให้ ว. ไปเอาเงินมาให้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 148 เพราะจำเลยไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบโดยแล้งขู่ว่าจะจับ ว. โดยไม่ได้กระทำความผิดและเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 157 มาด้วย ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกบทหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือน มีฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,86 เท่านั้น
ในกรณีดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เรียกเงินจาก ว.แล้วให้ ว.ไปเอาเงินก็เพื่อจะไม่จับกุม ว. ไม่ใช่ว่าจับกุมแล้วเรียกเงินเพื่อจะปล่อยแม้ขณะที่ ว. จะไปเอาเงิน จำเลยจะให้พวกจำเลยคนหนึ่งไปด้วยเป็นทำนองว่าเพื่อควบคุมตัว ว. โดยปริยาย แต่เมื่อมีผู้ทักท้วงขึ้น จำเลยก็มิได้ไปด้วย เพียงแต่ให้ ว. ลงชื่อในบันทึกการจับกุมไว้เท่านั้น โดยกล่าวว่าถ้าไม่ยอมลงชื่อจะจับไปสถานีตำรวจ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จับควบคุมตัว ว.อันจะเข้าเกณฑ์ว่ามีการคุมขังแล้วดังที่บัญญํติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 ตามที่แก้ไข และมาตรา 204 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191, 204
การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยมานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้ตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกเงินจากผู้ต้องหาเพื่อไม่จับกุม ไม่เป็นความผิดตาม ม.148 แต่เป็นความผิดตาม ม.149
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย ได้ร่วมกันตรวจค้นพบกัญชาและกล้องสูบกัญชาซึ่งเป็นของผิดกฎหมายในบ้านพักของ ว. แล้วไม่จับกุมนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายตามตำแหน่งหน้าที่ของตน แต่กลับร่วมกับจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือนเรียกร้องเอาเงินจาก ว.เพื่อไม่กระทำการจับกุมตามหน้าที่แล้วให้ ว. ไปเอาเงินมาให้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 148 เพราะจำเลยไม่ได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบโดยแกล้งขู่ว่าจะจับ ว. โดยไม่ได้กระทำความผิด และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เป็นความผิดตามมาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตามมาตรา 157 มาด้วย ก็ไม่จำต้องปรับบทด้วยมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกบทหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพลเรือน มีฐานะเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 86 เท่านั้น
ในกรณีดังกล่าวข้างต้น การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 เรียกเงินจาก ว.แล้วให้ว.ไปเอาเงินก็เพื่อจะไม่จับกุมว. ไม่ใช่ว่าจับกุมแล้วเรียกเงินเพื่อจะปล่อย แม้ขณะที่ ว. จะไปเอาเงิน จำเลยจะให้พวกจำเลยคนหนึ่งไปด้วยเป็นทำนองว่าเพื่อควบคุมตัว ว. โดยปริยายแต่เมื่อมีผู้ทักท้วงขึ้น จำเลยก็มิได้ไปด้วย เพียงแต่ให้ ว. ลงชื่อในบันทึกการจับกุมไว้เท่านั้น โดยกล่าวว่าถ้าไม่ยอมลงชื่อจะจับไปสถานีตำรวจ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้จับควบคุมตัว ว. อันจะเข้าเกณฑ์ว่ามีการคุมขังแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 ตามที่แก้ไข และมาตรา 204จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191,204
การที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยมานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้ตลอดไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องอาญาด้วยวาจาเพียงพอต่อการบรรยายองค์ประกอบความผิดได้ หากใจความที่บันทึกครบถ้วน และศาลมีอำนาจรอการลงโทษได้
คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่างๆที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดแล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมายกล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ.2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามกและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา ศาลฎีกายืนตามคำฟ้อง
คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิด แล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษผู้กระทำผิดอายุ 18 ปี และการพิจารณาความผิดฐานปล้นทรัพย์ vs พยายามฆ่า
จำเลยอายุ 18 ปี แต่ยังอ่อนต่อความรู้สึกผิดชอบกระทำการปล้นโคโดยใช้ปืนยิง ศาลลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งตามมาตรา 76 ได้
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งสี่คน จำเลย 3 คน อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ทำผิดมิใช่ไม่มีความผิดเกิดขึ้น และยกคำพยานโจทก์สำหรับจำเลยที่ 4 ขึ้นวินิจฉัย ดังนี้เป็นคำพยานคนละชุดกันไม่ใช่เหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์ปล่อยจำเลยที่ 4 ด้วยไม่ได้แต่ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำเป็นแต่ปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงไม่ใช่พยายามฆ่าคน เป็นเหตุในลักษณะคดีพิพากษาให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความถูกต้องในการปรับบทลงโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และอำนาจศาลในการแก้ไขโทษจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ19,20 ทวิ,20 ตรี,29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4,6,7,12 จำเลยที่2 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ,14,20 ทวิ,29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2504 มาตรา 4,6,7,12 ดังนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี (ฐานรับไว้หรือมีไว้ซึ่งเฮโรอีน) ก็ต้องไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 7 อันเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มเติมมาตรา 20 ตรี ไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ,14,20 ทวิพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4,6(ตัดมาตรา 29 และ 12 ของพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับออกเสียด้วย เพราะของกลางที่ริบมีแต่เฮโรอีน ซึ่งมิได้ริบโดยอาศัยมาตรา 29 และ 12)
การที่ไม่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 7 นั้น เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษตามมาตราดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษในคดียาเสพติด: ความถูกต้องและขอบเขตอำนาจศาลในการแก้ไขโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 19, 20 ทวิ, 20 ตรี, 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7, 12 จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 14, 20 ทวิ, 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7, 12 ดังนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี (ฐานรับไว้หรือมีไว้ซึ่งเฮโรอีน) ก็ต้องไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 7 อันเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มเติมมาตรา 20 ตรีไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 14, 20 ทวิพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6 (ตัดมาตรา 29 และ 12 ของพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับออกเสียด้วย เพราะของกลางที่ริบมีแต่เฮโรอีน ซึ่งมิได้ริบโดยอาศัยมาตรา 29 และ 12)
การที่ไม่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 7 นั้น เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษตามมาตราดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีข่มขืนกระทำชำเราและค้าประเวณี โดยพิจารณาจากองค์ประกอบความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลย 6 คนโดยมิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 จึงลงโทษจำเลยที่ 1,2,3,4ฐานนี้ไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัว ว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309ก็ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้เช่นกัน แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดข่มขืนใจ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง และการลงโทษตามกระทงความผิดที่หนักที่สุด
โจทก์ฟ้องจำเลย 6 คนโดยมิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 จึงลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ฐานนี้ไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309ก็ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้เช่นกัน แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
of 53