พบผลลัพธ์ทั้งหมด 895 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8147/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานเบิกความต่างจากชั้นสอบสวน ศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานอื่นประกอบเพื่อพิสูจน์ความจริง
คดีนี้ ก. มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลโดยตรงและได้เบิกความรับว่าได้ให้การไว้ในฐานะผู้กล่าวหาตามคำให้การเอกสารหมาย จ.16 จึงเป็นเรื่องที่ ก. เบิกความในเรื่องที่ตนประสบพบเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนี้โดยตรง ส่วนถ้อยคำของ ก. ที่ให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.16 ก็เป็นถ้อยคำของ ก. เองมิใช่ถ้อยคำอันเป็นคำบอกเล่าของบุคคลอื่นที่นำมาเสนอต่อศาลเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความดังกล่าวแต่อย่างใด อันจะเป็นพยานบอกเล่าตามความหมายของ ป.วิ.อ. มาตรา 226/3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8138/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของบิดามารดาต่อการกระทำของบุตรผู้เยาว์ที่ทำงานและมีใบอนุญาตขับขี่
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มีอายุ 19 ปีเศษ ใกล้บรรลุนิติภาวะ แม้จะยังเป็นผู้เยาว์และต้องอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาตามกฎหมายก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ก็ทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองไม่เป็นภาระแก่บิดามารดา การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ก็เนื่องมาจากต้องใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไปทำงาน ทั้งจำเลยที่ 1 ได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีวุฒิภาวะพอสมควรที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะไว้วางใจจำเลยที่ 1 ในการดำรงชีวิตในสังคมที่จะไม่ก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่น นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยขับรถจักรยานยนต์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น หรือเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนอยู่เสมอ อันจะทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรต้องทักท้วงหรือห้ามปรามมิให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์อีกจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7735/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การส่งมอบสินค้าถือเป็นการชำระหนี้และมีสิทธิฟ้องร้องได้
ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม นอกจะบัญญัติให้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติอีกว่า "...หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว..." ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เช่นกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการซื้อขายต้นอ้อย โจทก์และจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายหรือมีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ แต่ในวันที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ได้ส่งมอบกรรมสิทธิ์ต้นอ้อยให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อันถือได้ว่าโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือส่งมอบต้นอ้อยให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาต้นอ้อยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7707/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีทุจริตก่อนมี พ.ร.บ.ป.ป.ช. การส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ไม่ใช่ข้อบังคับย้อนหลัง
ป. ป่าไม้จังหวัดอุดรธานีซึ่งรับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เข้าร้องทุกข์ต่อพันตำรวจโท ส. พนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยกับพวกก่อนใช้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 66 (เดิม), มาตรา 84 (เดิม) และมาตรา 89 (เดิม) โดยไม่มีมาตราใดของบทกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้พนักงานสอบสวนซึ่งรับคำร้องทุกข์หรือกล่าวโทษไว้ก่อนดังกล่าวนั้นต้องส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วย จึงต้องเป็นไปตามหลักทั่วไปว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง แม้ต่อมาจะมีการแก้ไข มาตรา 66 และมาตรา 84 โดยก็มิได้บัญญัติให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนสอบสวนกรณีของจำเลยไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ ดังนั้น การสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย และการที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการมิได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีผลทำให้การสอบสวนและการฟ้องคดีนี้ของโจทก์เป็นไปโดยไม่ชอบแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7651/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษา: สิทธิการรับคืนหลักประกันเมื่อจำเลยยังไม่ชำระหนี้
ผู้ร้องทำหนังสือค้ำประกันไว้ในศาลระบุว่า ผู้ร้องขอเข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันในศาล สำหรับจำเลยเพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนจนครบ และนำหลักทรัพย์โฉนดที่ดิน (น.ส. 4 จ.) เลขที่ 2669 เลขที่ดิน 28 มาวางเป็นหลักประกัน หากจำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องยินยอมให้บังคับแก่ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนี้ ย่อมใช้บังคับแก่การประกันโดยไม่ต้องฟ้องผู้ค้ำประกันขึ้นใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 274
แม้หนังสือค้ำประกันจะเป็นการค้ำประกันในชั้นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีข้อความระบุทำนองว่า เพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนในศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยคิดถึงวันฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 แต่ในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นคำร้องขอถือเอาหลักประกันเพื่อใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย และศาลฎีกามีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ถือเอาหลักประกันในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์มาเป็นหลักประกันในชั้นนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะยกคำร้อง ก็พอถือได้ว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นนี้แล้ว ศาลฎีการับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ย่อมเท่ากับว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นฎีกาด้วย เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว คดีถึงที่สุดปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนแก่โจทก์ ผู้ร้องก็ไม่อาจขอรับโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนจากศาลได้
แม้หนังสือค้ำประกันจะเป็นการค้ำประกันในชั้นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และมีข้อความระบุทำนองว่า เพื่อชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนในศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยคิดถึงวันฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 4 แต่ในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา จำเลยยื่นคำร้องขอถือเอาหลักประกันเพื่อใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย และศาลฎีกามีคำสั่งว่า การยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 252 จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอให้ถือเอาหลักประกันในชั้นยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์มาเป็นหลักประกันในชั้นนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะยกคำร้อง ก็พอถือได้ว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นนี้แล้ว ศาลฎีการับวินิจฉัยคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ย่อมเท่ากับว่าจำเลยได้วางหลักประกันในชั้นฎีกาด้วย เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว คดีถึงที่สุดปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนแก่โจทก์ ผู้ร้องก็ไม่อาจขอรับโฉนดที่ดินอันเป็นหลักประกันคืนจากศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7646/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทโมฆะ: วัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อย/ศีลธรรมอันดี แม้ผู้รับผลประโยชน์ไม่ใช่เจ้าพนักงาน
แม้โจทก์จะมิใช่เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจยกเลิกคำสั่งให้รื้อถอนตึก แต่การที่โจทก์ทำงานในหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคาร ย่อมมีเหตุให้จำเลยเชื่อว่าโจทก์จะสามารถช่วยเหลือมิให้จำเลยต้องรื้อตึกได้ การที่จำเลยออกเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ในลักษณะเพื่อตอบแทนการที่โจทก์ช่วยเหลือมิให้จำเลยต้องรื้อถอนตึกที่ก่อสร้างต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต การออกเช็คพิพาทจึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนต้องตกเป็นโมฆะตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 150 เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ที่จะบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายรับผิดตามเช็คพิพาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7609/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำมั่นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี สัญญาเช่ามีผลใช้ได้เพียง 3 ปีแรกตามคำมั่น
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับจำเลย แม้ในสัญญาเช่ามีข้อความระบุว่า ผู้ให้เช่าให้คำมั่นว่าจะต่ออายุการเช่าออกไปอีกสองคราว มีกำหนดคราวละ 3 ปี แต่เมื่อรวมระยะเวลาตามคำมั่นแล้วมีกำหนด 6 ปี จึงเป็นกรณีที่ผู้ให้เช่าให้คำมั่นว่าจะให้เช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนดเกินกว่า 3 ปี เมื่อโจทก์ผู้เช่าได้แสดงเจตนาเข้ารับคำมั่นสัญญาเช่าจึงมีผลต่อไปเพียง 3 ปี ตามคำมั่นของผู้ให้เช่าว่าจะให้ผู้เช่าต่ออายุการเช่าในครั้งแรกเท่านั้น โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยทำสัญญาเช่าและไปจดทะเบียนการเช่าในครั้งที่สองซึ่งเกินกว่า 3 ปีไม่ได้ เพราะเป็นการหลีกเลี่ยงและต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 538 ซึ่งบังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของคู่สัญญาประกันภัย: การมีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัย
พฤติการณ์ที่โจทก์ซื้อรถยนต์จากบริษัทผู้ขายรถยนต์ซึ่งได้ทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยผู้รับประกันภัยก่อนโจทก์ชำระราคารถยนต์ โดยมีตัวแทนจำหน่ายของบริษัทผู้ขายรถเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย และระบุชื่อโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงในการซื้อขายรถยนต์ระหว่างโจทก์กับบริษัทผู้ขายรถยนต์ จำเลยย่อมทราบดีว่าโจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัย จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7087/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อมูลจากผู้ต้องหาต้องเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการจับกุมผู้อื่น หรือยึดยาเสพติดเพิ่มเติม จึงจะลดโทษได้
ข้อมูลที่ผู้กระทำความผิดให้ต่อเจ้าพนักงานตามที่กฎหมายบัญญัตินั้น ต้องเป็นข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษรายอื่นหรือนำไปสู่การยึดได้ยาเสพติดให้โทษจำนวนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของกลางในคดีนี้และเจ้าพนักงานไม่สามารถค้นพบหรือยึดได้หากไม่ได้รับข้อมูลจากผู้กระทำความผิด คดีนี้แม้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 จะให้การรับสารภาพว่า รับจ้าง ส. กับ บ. ไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลาง ต่อมาเจ้าพนักงานจับ ส. กับ บ. ได้ แต่คำให้การของจำเลยเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 กับพวกที่ร่วมกระทำความผิดด้วยกันและเป็นข้อเท็จจริงที่เจ้าพนักงานสืบทราบและวางแผนจับกุมอยู่แล้ว มิใช่ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษของรายอื่นแต่อย่างใด ไม่มีเหตุสมควรลงโทษจำเลยที่ 2 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7053/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เสียหายเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา และการพิจารณาคดีแพ่งควบคู่กับคดีอาญา
ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้เสียหายที่จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ชื่อเสียง หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย และในวรรคสอง บัญญัติให้ถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็นคำฟ้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และผู้เสียหายอยู่ในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่ง เมื่อผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก่อนศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยเฉพาะคดีส่วนอาญา โดยมิได้มีคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งด้วย ผู้เสียหายในฐานะโจทก์ในคดีส่วนแพ่งย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านเพื่อให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งได้
คดีส่วนอาญาเป็นคดีความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกไม่ถึงห้าปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนอาญาชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีส่วนแพ่ง ถือเป็นความผิดพลาดบกพร่องเฉพาะในคดีส่วนแพ่งและมิได้มีผลกระทบใดๆ ต่อคดีส่วนอาญา ทั้งศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไปก่อนแล้วพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งในภายหลังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/2 วรรคหนึ่ง จึงชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาเฉพาะส่วนแพ่งต่อไปเท่านั้น
คดีส่วนอาญาเป็นคดีความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกไม่ถึงห้าปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในคดีส่วนอาญาชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในคดีส่วนแพ่ง ถือเป็นความผิดพลาดบกพร่องเฉพาะในคดีส่วนแพ่งและมิได้มีผลกระทบใดๆ ต่อคดีส่วนอาญา ทั้งศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไปก่อนแล้วพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งในภายหลังได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/2 วรรคหนึ่ง จึงชอบที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาเฉพาะส่วนแพ่งต่อไปเท่านั้น