พบผลลัพธ์ทั้งหมด 76 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7839/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขายรถยนต์ที่ถูกลักมา และสิทธิการหักประโยชน์จากการใช้รถ
โจทก์ได้ซื้อรถคันพิพาทไปจากจำเลยทั้งสองในราคา 300,000บาท โดยไม่ทราบว่าเป็นรถที่ถูกลักมาและมีใบคู่มือการจดทะเบียนปลอมมาก่อน ต่อมาเจ้าพนักงานได้ตรวจพบว่าใบคู่มือการจดทะเบียนของรถคันพิพาทเป็นเอกสารปลอมจึงมีการยึดรถคันพิพาทไปจากโจทก์เพื่อคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริง จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ขายจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ถูกรอนสิทธิโดยชดใช้ราคารถคันพิพาทแก่โจทก์
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิหักเงินที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถคันพิพาทจากโจทก์ด้วยนั้น การที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถคันพิพาทนั้น มิใช่เป็นค่าหรือราคารถคันพิพาทที่จำเลยจะต้องส่งคืน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักกับราคาของรถคันพิพาทได้
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่าความเสียหายอันเกิดแต่การรอนสิทธินั้น โจทก์มีส่วนก่อให้เกิดขึ้น โจทก์จึงต้องรับผิดในจำนวนค่าเสียหายกึ่งหนึ่งด้วยนั้น ในปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในศาลชั้นต้น แม้จำเลยทั้งสองจะได้อุทธรณ์ในข้อนี้มาด้วย ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิหักเงินที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถคันพิพาทจากโจทก์ด้วยนั้น การที่โจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถคันพิพาทนั้น มิใช่เป็นค่าหรือราคารถคันพิพาทที่จำเลยจะต้องส่งคืน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาหักกับราคาของรถคันพิพาทได้
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่าความเสียหายอันเกิดแต่การรอนสิทธินั้น โจทก์มีส่วนก่อให้เกิดขึ้น โจทก์จึงต้องรับผิดในจำนวนค่าเสียหายกึ่งหนึ่งด้วยนั้น ในปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ในศาลชั้นต้น แม้จำเลยทั้งสองจะได้อุทธรณ์ในข้อนี้มาด้วย ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2053/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากการซื้อขายรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม แม้ผู้ขายไม่ทราบเหตุ ผู้ขายก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยผู้ขายต้องรับผิดในการ รอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา475แม้จะไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิก็ตามและเมื่อโจทก์จำต้องยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์พิพาทซึ่งซื้อมาจากจำเลยไปเพราะเป็นรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาความรับผิดของจำเลยดังกล่าวจึงไม่อยู่ในบังคับ อายุความฟ้องร้องตามมาตรา481แต่มีอายุความ10ปีตามมาตรา193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิด
ที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์ที่1บางส่วนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่สงวนไว้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะจึงเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ซึ่งไม่อาจซื้อขายกันได้สัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะเท่ากับว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวกับโจทก์ที่1จึงไม่มีสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวที่จำเลยจะต้องรับผิดในการรอนสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 923/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยฉ้อฉลและความประมาทเลินเล่อของผู้ซื้อ
โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของร่วมกับ อ.และเป็นมารดาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และ อ. โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นผู้รับมอบอำนาจจาก อ. จำเลยที่ 3 และที่ 4 มีบ้านอยู่ในที่พิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 3 รู้ว่า อ.ไม่ยินยอมจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้รับส่วนแบ่งเงินจากการขาย เมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการขายที่พิพาทเฉพาะส่วนของ อ. จึงฟังว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือรู้เห็นการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขายที่พิพาทอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ แต่โจทก์มิได้สอบถาม อ.เมื่อพบกัน และเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทักท้วงเกี่ยวกับลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจโจทก์ยังรับรองลายมือชื่อ อ.ทั้งที่ไม่เคยเห็น โจทก์จึงมีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย
ค่าทนายความเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดเพียงใดหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล
ค่าทนายความเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายแพ้คดีต้องรับผิดเพียงใดหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากรถยนต์ที่มีเจ้าของเดิม การคิดดอกเบี้ยค่าเสียหาย และอายุความ
โจทก์ตกลงซื้อรถพิพาทจากจำเลยทั้งสอง เมื่อปรากฏว่าขณะที่จำเลยทั้งสองโอนรถพิพาทให้กับโจทก์นั้น บริษัทสยามกลการ จำกัด เป็นเจ้าของรถพิพาท มิใช่จำเลยทั้งสอง ต่อมารถพิพาทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปเป็นของกลางเพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิม ถือว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิแล้ว
รถพิพาทถูกยึดไปทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถพิพาทได้ นับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับตั้งแต่วันที่รถพิพาทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไป และสามารถคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อนแต่อย่างใด
โจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะคาดคิดได้ว่าถ้าโจทก์ไม่ยอมให้ยึดรถพิพาท โจทก์อาจจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม กรณีหาใช่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งมีอายุความ 3 เดือนดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 481 ไม่ ต้องใช้อายุความธรรมดา 10 ปี ตามมาตรา 164
รถพิพาทถูกยึดไปทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้รถพิพาทได้ นับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับตั้งแต่วันที่รถพิพาทถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไป และสามารถคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อนแต่อย่างใด
โจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะคาดคิดได้ว่าถ้าโจทก์ไม่ยอมให้ยึดรถพิพาท โจทก์อาจจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม กรณีหาใช่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งมีอายุความ 3 เดือนดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 481 ไม่ ต้องใช้อายุความธรรมดา 10 ปี ตามมาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากการซื้อขายรถยนต์ที่ผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ และอายุความฟ้องคดี
โจทก์ตกลงซื้อรถยนต์จากจำเลยทั้งสอง แต่ขณะที่จำเลยทั้งสองโอนรถยนต์ให้กับโจทก์นั้น บุคคลอื่นเป็นเจ้าของ มิใช่จำเลยทั้งสองต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดรถยนต์ไปเป็นของกลางเพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิม ถือว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิ รถยนต์ที่โจทก์ซื้อจากจำเลยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ได้ ต้องเช่ารถผู้อื่นมาใช้แทนนับได้ว่าความเสียหายเกิดขึ้นแก่โจทก์แล้ว โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้นับตั้งแต่วันที่ถูกยึดไปและสามารถคิดดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าวได้ ไม่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้ำซ้อน โจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะคาดคิดได้ว่าถ้าโจทก์ไม่ยอมให้ยึดรถยนต์ โจทก์อาจจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ไม่ใช่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งมีอายุความ 3 เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 ต้องใช้อายุความธรรมดา10 ปี ตามมาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2106/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องมีนิติสัมพันธ์โดยตรงกับจำเลย แม้ร่วมลงทุนซื้อรถยนต์ แต่หากสัญญาซื้อขายระบุชื่อสามีฝ่ายเดียว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์กับสามีโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันออกเงินซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลย และสามีได้ทำหนังสือให้ความยินยอมแก่โจทก์เพื่อฟ้องจำเลยแต่ปรากฏจากเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์และการโอนทะเบียนรถยนต์ว่า สามีโจทก์เท่านั้นที่ทำสัญญาเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาท โจทก์มิได้มีนิติสัมพันธ์ประการใดกับจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดเกี่ยวกับการรอนสิทธิตามสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2106/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในสัญญาซื้อขาย: ภริยาไม่มีอำนาจฟ้องแทนสามี หากไม่ได้เป็นคู่สัญญาทั้งที่ร่วมออกเงินซื้อ
โจทก์กับสามีโดยชอบด้วยกฎหมายร่วมกันออกเงินซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลย และสามีโจทก์ได้ทำหนังสือให้ความยินยอมแก่โจทก์เพื่อฟ้องจำเลย แต่ปรากฏจากเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์และการโอนทะเบียนรถยนต์ว่า สามีโจทก์เท่านั้นที่ทำสัญญาเป็นผู้ซื้อรถยนต์พิพาท โจทก์มิได้มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดในการรอนสิทธิตามสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้เช่าถูกรอนสิทธิจากสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ ผู้เช่าฟ้องบังคับให้ผู้ให้เช่าช่วงส่งมอบที่ดิน
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน เดิมบิดาโจทก์จำเลยเช่าที่ดินจากกรมการศาสนามาแล้วปลูกบ้านพิพาทมานานประมาณ50 ปี โดยโจทก์จำเลยอยู่กับบิดามารดาในบ้านนี้ ต่อมาบิดาตาย โจทก์จำเลยจึงไปขอแบ่งเช่าที่ดินที่ตั้งบ้านพิพาทจากกรมการศาสนาเนื้อที่คนละ 9 ตารางวา ปรากฏว่าบ้านพิพาทบางส่วนล้ำเข้าไปในเขตที่ดินที่โจทก์เช่ามา แม้โจทก์จะมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาทแต่ขณะฟ้องโจทก์มิได้ครอบครองบ้านพิพาทหรือครอบครองที่ดินส่วนที่ปลูกบ้านพิพาท การที่โจทก์เสียค่าเช่าที่ดินเต็มตามจำนวนเนื้อที่ดินที่เช่าแก่กรมการศาสนาหาได้หมายความว่ากรมการศาสนาผู้ให้เช่าได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินส่วนที่บ้านพิพาทปลูกรุกล้ำอยู่นั้นให้แก่โจทก์แล้วไม่ เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากไม่ได้ใช้ที่ดินเต็มเนื้อที่ที่เช่ามาเป็นเรื่องโจทก์ในฐานะผู้เช่าถูกรอนสิทธิในทรัพย์สินที่เช่า ชอบที่โจทก์จะฟ้องร้องบังคับให้ผู้ให้เช่าส่งมอบที่ดินส่วนที่บ้านพิพาทปลูกรุกล้ำอยู่นั้นให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 การที่จำเลยไม่ยอมรื้อบ้านพิพาทส่วนที่รุกล้ำให้โจทก์ถือไม่ได้ว่าโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2902/2528).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 471/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วงเป็นโมฆะเมื่อผู้เช่าเดิมผิดสัญญาและถูกขับไล่ สิทธิการเช่าช่วงจึงตกไป
จำเลยให้ อ. เช่าที่พิพาทโดย อ. มีสิทธินำไปให้เช่าช่วงได้ อ. นำที่พิพาทไปให้โจทก์เช่าช่วงโดยทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าช่วงแต่เมื่อ อ. ประพฤติผิดสัญญาเช่าที่ทำไว้กับจำเลยโดยไม่ชำระค่าเช่า จนจำเลยต้องบอกเลิกสัญญาฟ้องขับไล่ และศาลพิพากษาขับไล่ อ. ออกจากที่พิพาทแล้ว อ. ก็หมดสิทธิครอบครองและให้โจทก์เช่าช่วงที่พิพาทได้ต่อไปเหตุนี้โจทก์จึงจะใช้หนังสือมอบอำนาจของ อ. มาบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าที่พิพาทให้โจทก์หาได้ไม่ ไม่ว่าการเช่าช่วงที่โจทก์อ้างจะกระทำกันก่อนหรือหลังที่ศาลพิพากษาให้ขับไล่ อ. ออกไปจากที่พิพาทผลของคดีก็ไม่แตกต่างกัน หากโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร ชอบที่จะไปว่ากล่าวกับ อ.ผู้ให้เช่าช่วงแล้วประพฤติผิดสัญญาดังกล่าวต่อไป.