พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9988/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิเรียกร้องหนี้เสีย: การจัดชั้นหนี้, ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม, และสิทธิของลูกหนี้
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 24/2552 เรื่อง การกำหนดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและหลักเกณฑ์ที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ต้องถือปฏิบัติ ข้อ 5.2.1 กำหนดให้สินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกจัดชั้นให้เป็นสินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ หรือสินทรัพย์จัดชั้นสูญ ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงินเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่จำหน่ายจ่ายโอนให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ได้ และตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 31/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงิน ข้อ 5.2.2 (3) (3.1) กำหนดให้สินทรัพย์ที่ลูกหนี้ค้างชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันถึงกำหนดชำระ เป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัย ยกเว้นลูกหนี้ที่จัดชั้นสูญหรือสงสัยจะสูญแล้ว สำหรับสินทรัพย์ลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีมีวงเงินและครบกำหนดสัญญาแล้วไม่มีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระต้นเงินหรือดอกเบี้ยเกินกว่า 6 เดือน นับแต่วันที่ครบกำหนดสัญญา ให้จัดชั้นเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยตามที่กำหนดไว้ในข้อ 5.2.2 (3) (3.2) ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำเนาบัญชีเงินกู้ว่า วันสิ้นเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ครั้งที่ 1 โจทก์เป็นหนี้ค้างชำระต้นเงิน 45,465,894.73 บาท ดอกเบี้ย 292,031.04 บาท และในวันสิ้นเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งเป็นเดือนที่โจทก์ชำระหนี้ครั้งสุดท้าย โจทก์ค้างชำระต้นเงิน 45,077,068.42 บาท ดอกเบี้ย 649,385.86 บาท การนับระยะเวลาหนี้ค้างชำระตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 31/2551 ข้อ 5.2.2 (3) (3.1) มิใช่เริ่มนับตั้งแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้าย แต่ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ เมื่อนับถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 โจทก์ค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลารวมกันเกินกว่า 6 เดือน ทั้งเป็นกรณีมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ซึ่งโจทก์ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ใหม่ ตามข้อ 5.2.3 (2) วรรคท้าย ยังให้นับระยะเวลาการค้างชำระรวมกับระยะเวลาการค้างชำระก่อนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วพิจารณาจัดชั้นตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นดังกล่าวด้วย ส่วนทรัพย์ที่จำนองเป็นหลักประกันมีมูลค่าเพียงใด ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับดังกล่าวมิได้กำหนดให้นำมาพิจารณาในการจัดชั้นสินทรัพย์ แต่ให้นำมาพิจารณาเพื่อการกันเงินสำรองของสถาบันการเงินเมื่อจัดชั้นสินทรัพย์แล้วเท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงชอบที่จะจัดชั้นสินทรัพย์หนี้กู้ยืมเงินให้เป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัย สำหรับสินทรัพย์หนี้เบิกเงินเกินบัญชีนั้น ตามสำเนาบัญชีกระแสรายวัน ปรากฏว่า ในวันสิ้นเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดสัญญา โจทก์เป็นหนี้ค้างชำระ 1,999,750.54 บาท หลังจากนั้นมีการโอนเงินเข้าบัญชีหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2555 และมีหนี้ค้างชำระในวันสิ้นเดือนดังกล่าว 2,052,861.12 บาท แม้เห็นได้ว่านับจากวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ย้อนหลังขึ้นไปยังมีเม็ดเงินนำเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชีไม่เกินกว่า 6 เดือน ไม่อาจจัดชั้นให้เป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยโดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ สนส. 31/2551 ข้อ 5.2.2 (3) (3.2) ได้ก็ตาม แต่ในการจัดชั้นสินทรัพย์นั้น ข้อ 5.2.2 วรรคแรก ของประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับดังกล่าวกำหนดให้สถาบันการเงินต้องจัดชั้นสินทรัพย์เป็นรายบัญชี โดยคำนึงถึงความเกี่ยวเนื่องของกระแสเงินสดรับของแต่ละบัญชี ซึ่งหากกระแสเงินสดของลูกหนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน ก็อาจต้องจัดชั้นไว้ด้วยกัน ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ทำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกันเพื่อนำเงินไปใช้ในธุรกิจโรงแรมของโจทก์ ตามสัญญากู้ยืมเงิน ข้อ 12 และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ข้อ 6 โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 นำเงินที่โจทก์ต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินไปลงรายการในบัญชีกระแสรายวันและถือเป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี กระแสเงินของแต่ละบัญชีจึงมีความเกี่ยวเนื่องกันและชอบที่จะจัดชั้นสินทรัพย์ไว้ด้วยกันได้ การที่จำเลยที่ 1 จัดชั้นหนี้กู้ยืมเงินและหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจึงเป็นไปตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและหนี้ดังกล่าวย่อมเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ชอบที่จะรับโอนไว้จากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสถาบันการเงินได้
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 แต่กลับฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ครั้งที่ 1 ที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฯ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ข้อเท็จจริงที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเพื่อการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฟ้อง
โจทก์กล่าวในคำฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทางเลือกอื่นในการบังคับชำระหนี้ โดยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลายและไม่ควรเลือกใช้ช่องทางตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 เท่านั้น มิได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ไม่ฟ้องคดีไม่ได้ ตามคำฟ้องย่อมไม่มีประเด็นว่า จำเลยที่ 1 จะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ฟ้องคดีได้หรือไม่ แม้โจทก์ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ต้องถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 โอนสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 เป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 แต่กลับฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ครั้งที่ 1 ที่โจทก์ทำกับจำเลยที่ 1 ฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฯ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน ข้อเท็จจริงที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเพื่อการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฟ้อง
โจทก์กล่าวในคำฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทางเลือกอื่นในการบังคับชำระหนี้ โดยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลายและไม่ควรเลือกใช้ช่องทางตาม พ.ร.ก.บริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 เท่านั้น มิได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ไม่ฟ้องคดีไม่ได้ ตามคำฟ้องย่อมไม่มีประเด็นว่า จำเลยที่ 1 จะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ฟ้องคดีได้หรือไม่ แม้โจทก์ยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ ก็ต้องถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6429/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกและการยินยอมให้โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์มรดกแก่ทายาทอื่น ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์และเจตนาของเจ้ามรดก
ในการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกของ ต. ฝ่ายโจทก์ทั้งสองตกลงให้ตั้งจำเลยที่ 1 และฝ่ายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตกลงให้ตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก ต. ข้อตกลงดังกล่าวเพื่อให้มีตัวแทนของแต่ละฝ่ายเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ส่วนของตนในกองมรดกของ ต. เมื่อก่อนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารพิพาทแก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเดิมจำเลยที่ 2 บ. สามีโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 2 นำที่ดินและอาคารดังกล่าวออกให้เช่า เมื่อใกล้ครบสัญญาเช่า ผู้เช่าทำหนังสือถึงโจทก์ที่ 2 ขอทำสัญญาเช่าต่อพร้อมขออนุญาตปรับปรุงอาคารที่เช่า โจทก์ที่ 2 จึงมีหนังสือถึงจำเลยที่ 3 ให้เป็นผู้ตกลงกับผู้เช่าเอง ต่อมาจำเลยที่ 3 จึงเป็นผู้ให้เช่าแทนโจทก์ที่ 2 อีก 2 ครั้ง เป็นเวลา 6 ปี ซึ่งโจทก์ที่ 2 ยอมรับว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้เก็บค่าเช่าเองโดยโจทก์ที่ 2 ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ต. ยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแทนฉบับเดิมที่สูญหาย ซึ่งโจทก์ที่ 2 ยอมรับว่าเดิม บ. เป็นผู้เก็บโฉนดดังกล่าวไว้ แต่ขณะออกโฉนดที่ดินฉบับใหม่ บ. ถึงแก่ความตายแล้ว ดังนั้น หากโจทก์ที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ต. โอนที่ดินพิพาทพร้อมมอบโฉนดที่ดินให้ไปดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ไม่สามารถดำเนินการเองโดยลำพัง พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โจทก์ทั้งสองในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. ยินยอมแบ่งที่ดินพร้อมอาคารพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของ ต. ให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งจำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็เข้าครอบครองทรัพย์มรดกเป็นส่วนสัดตาม ป.พ.พ. 1750 วรรคหนึ่ง โดยการนำออกให้เช่าและเก็บค่าเช่ามาโดยตลอด โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจเรียกให้นำที่ดินและอาคารพิพาทมาแบ่งแก่โจทก์ทั้งสองได้อีก
คำพิพากษาในส่วนเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องการครอบครองเป็นส่วนสัด แต่เป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลในการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายอันเป็นการปรับบทกฎหมาย
คำพิพากษาในส่วนเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 มิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องการครอบครองเป็นส่วนสัด แต่เป็นอำนาจและหน้าที่ของศาลในการปรับข้อเท็จจริงเข้ากับข้อกฎหมายอันเป็นการปรับบทกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1574/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: การแจ้งวันขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้การขายทอดตลาดเป็นโมฆะ
การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของจำเลยที่ 1 อาจกระทำได้ไม่ว่าในเวลาใดก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลง แต่ต้องไม่ช้ากว่า 15 วัน นับแต่วันที่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสาม คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีเพิ่งขายทอดตลาดไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 และยังมิได้จ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้การบังคับคดีจึงยังไม่เสร็จลงตามมาตรา 296 วรรคสี่ ส่วนที่ต้องไม่ช้ากว่า 15 วัน นับแต่วันที่ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น ศาลชั้นต้นต้องไต่สวนให้ได้ความก่อนว่ามีข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นหรือไม่และจำเลยที่ 1 ทราบแล้วหรือไม่ เมื่อใด เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งโดยไม่ไต่สวนจึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ การที่จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 14 ธันวาคม 2547 ฉบับแรก ขอให้รับคำร้องขอเพิกถอนการพิจารณาของจำเลยที่ 1 ไว้ไต่สวนต่อไป ย่อมเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 ขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
จำเลยที่ 1 เพิ่งทราบเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2547 ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมอบให้ ว. ไปขอคัดถ่ายเอกสารการขายทอดตลาดที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาคร และเพิ่งได้รับเอกสารมาเมื่อวันที่ 7 เดือนเดียวกัน ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตั้งแต่วันที่ 7 เดือนดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบแล้วก็มอบให้ทนายความของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ทนายความของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดฉบับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2547 จึงเป็นการยื่นคำร้องไม่ช้ากว่า 15 วัน นับแต่วันที่ทราบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสาม
จำเลยที่ 1 เพิ่งทราบเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2547 ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้ว จำเลยที่ 1 จึงมอบให้ ว. ไปขอคัดถ่ายเอกสารการขายทอดตลาดที่สำนักงานบังคับคดีจังหวัดสมุทรสาคร และเพิ่งได้รับเอกสารมาเมื่อวันที่ 7 เดือนเดียวกัน ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตั้งแต่วันที่ 7 เดือนดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบแล้วก็มอบให้ทนายความของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ทนายความของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดฉบับลงวันที่ 9 ธันวาคม 2547 จึงเป็นการยื่นคำร้องไม่ช้ากว่า 15 วัน นับแต่วันที่ทราบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสาม