คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 68

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 794 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ และการกระทำเพื่อช่วยเหลือป้องกัน
การที่จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมพูดจาหมิ่นประมาทว่าเที่ยวชอบเล่นชู้แล้วรังแกและทำร้าย โดยจำเลยที่ 1 เป็นหญิง ส่วนโจทก์ร่วมเป็นชายมีรูปร่างใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มาก ไม่มีหนทางที่จะต่อสู้ได้จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วย มาตรา 80 และมาตรา 69 ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมต่อถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ: การแทงเพื่อป้องกันตัวจากการทำร้าย และการช่วยเหลือเพื่อป้องกันภัย
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปซื้อของในตลาดสดได้พบกับโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งทอดขนมอยู่ในตลาดสดนั้น โจทก์ร่วมหมิ่นประมาทรังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยพูดว่าจำเลยที่ 1 เล่นชู้ จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่าพูดมาก โจทก์ร่วมเข้ากอดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกไปและว่ากล่าวโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกลับมาจับนมจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วม 1 ที แล้วโจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้าง และเตะที่ชายโครง สะโพก และขา จำเลยที่ 1 ล้ม โจทก์ร่วมดึงผมจำเลยที่ 1 ให้ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้อง จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 เป็นหญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตรโจทก์ร่วมสูง 170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัม สูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มากไม่มีหนทางที่จำเลยที่ 1 จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลย การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ มาตรา 69
จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2388/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้มีดทำร้ายหลังถูกทำร้ายก่อน และการช่วยเหลือป้องกัน
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสมมีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปซื้อของในตลาดสดได้พบกับโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งทอดขนมอยู่ในตลาดสดนั้นโจทก์ร่วมหมิ่นประมาทรังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยพูดว่าจำเลยที่ 1 เล่นชู้ จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่าพูดมากโจทก์ร่วมเข้ากอดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกไปและว่ากล่าวโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกลับมาจับนมจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วม 1 ที แล้วโจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้าง และเตะที่ชายโครง สะโพก และขาจำเลยที่ 1 ล้ม โจทก์ร่วมดึงผมจำเลยที่ 1 ให้ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้อง จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตร โจทก์ร่วมสูง170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัม สูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1มากไม่มีหนทางที่จำเลยที่ 1 จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลยการที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2885 ประกอบด้วยมาตรา 80และมาตรา 69 จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การโต้เถียงก่อนเกิดเหตุและการสมัครใจวิวาท
การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตายแสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อจำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ การลดมาตราส่วนโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิดแม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตามแต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้เถียงก่อนยิงและการลดโทษตามอายุ: ป้องกันตัวไม่สมเหตุผล & ลดโทษทุกกระทง
การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตายแสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย เมื่อจำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความ-ตายจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้
การลดมาตราส่วนโทษตาม ป.อ. มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกระทงความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อแรก ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย การท้าทายวิวาท และการลดโทษเนื่องจากอายุผู้กระทำความผิด
โจทก์มี ฉ. ประจักษ์พยานซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตายเบิกความถึงเหตุการณ์ที่ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย แม้ข้อความนั้นเป็นผลร้ายต่อฝ่ายผู้ตายซึ่งเป็นสามีของตน แสดงให้เห็นว่า ฉ.เบิกความตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น มิได้ปรักปรำจำเลยทั้งในชั้นสอบสวนก็ให้การเช่นนี้ ส่วนจำเลยกับพยานของจำเลยเบิกความแตกต่างกันจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายเมื่อผู้ตายพูดว่า จะใช้ขวานฟันจำเลยจำเลยก็ตอบว่า ถ้าผู้ตายใช้ขวานฟันจำเลยก็จะยิงด้วยอาวุธปืนอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตาย แสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย การที่จำเลยยิงผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเฉพาะเหตุอายุของผู้กระทำความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า, พยายามฆ่า, การป้องกันตัว, และฎีกาต้องห้าม: กรณีวิวาทและใช้อาวุธทำร้าย
จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าผู้เสียหายก่อน เมื่อผู้เสียหายเข้าไปสอบถามจำเลย จึงเกิดการโต้เถียงกัน หลังจากนั้นทั้งจำเลยและผู้เสียหายต่างใช้อาวุธเข้าทำร้ายกัน ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทต่อสู้กับผู้เสียหาย การที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว จำเลยใช้มีดปลายแหลมใบมีดยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงผู้เสียหาย3 ที ถูกที่บริเวณทรวงอกด้านซ้าย 3 แห่ง บาดแผลทะลุเข้าช่องปอดด้านซ้ายทั้ง 3 แห่ง มีเลือดออกในช่องปอดต้องใส่สายระบายเลือดออกจากปอด ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาความผิดต่อชีวิตแต่ไม่มีหลักฐานการแจ้งข้อหาแก่จำเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นเพียงการเถียงข้อเท็จจริงว่า พนักงานสอบสวนยังมิได้แจ้งข้อหาพยายามฆ่าแก่จำเลย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวจำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะ vs. ป้องกันโดยชอบธรรม: การกระทำหลังภยันตรายสิ้นสุดไม่ถือเป็นการป้องกัน
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่อาจเป็นทั้งการกระทำโดยบันดาลโทสะและป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเดียวกันได้ ผู้ตายเข้าไปหาจำเลยแล้วเตะสำรับกับข้าวที่จำเลยกับภรรยานั่งรับประทานอยู่ แต่จำเลยก็หาได้ตอบโต้ภยันตรายที่ผู้ตายก่ออย่างใดไม่ ต่อเมื่อผู้ตายร้องเรียกจำเลยให้เข้ามาต่อสู้พร้อมกับด่าจำเลย จำเลยจึงเข้ากอดปล้ำต่อสู้กับผู้ตาย แต่สู้ไม่ได้เพราะตัวเล็กกว่า จำเลยจึงวิ่งไปหยิบมีดมาแทงผู้ตาย การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเมื่อภยันตรายดังกล่าวที่ผู้ตายก่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การกระทำของผู้ตายก็ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะกับการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: ภยันตรายต้องใกล้จะถึงและต่อเนื่อง
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่อาจเป็นทั้งการกระทำโดยบันดาลโทสะและป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเดียวกันได้ เนื่องจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ผู้กระทำจะใช้สิทธิป้องกันได้จะต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและขณะใช้สิทธิป้องกัน ภยันตรายนั้นยังมิได้สิ้นสุดลงหากภยันตรายนั้นผ่านพ้นไปแล้วผู้กระทำก็ไม่อาจใช้สิทธิป้องกันได้ อย่างไรก็ดี ภยันตรายดังกล่าวแม้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หากผู้ถูกข่มเหงได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นคือในระยะเวลาต่อเนื่องที่ตนยังมีโทสะอยู่ ย่อมถือว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
การที่ผู้ตายเข้าไปหาจำเลยแล้วเตะสำรับกับข้าวที่จำเลยกับภรรยานั่งรับประทานอยู่ แม้จะเป็นการกระทำที่ผู้ตายมีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นอันถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายก็ตาม แต่จำเลยก็หาได้กระทำสิ่งใดเป็นการตอบโต้ผู้ตายในขณะผู้ตายเตะสำรับกับข้าวของจำเลยไม่ ต่อเมื่อผู้ตายร้องเรียกจำเลยให้เข้ามาต่อสู้กันพร้อมทั้งด่าจำเลยจำเลยเกิดโทสะจึงเข้าต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อสู้ไม่ได้เพราะตัวเล็กกว่า จำเลยจึงวิ่งไปหยิบมีดมาแทงผู้ตาย การกระทำของจำเลยต่อผู้ตายเป็นการกระทำเมื่อภยันตรายดังกล่าวที่ผู้ตายก่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การกระทำของผู้ตายก็ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปในขณะนั้นคือในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยในขณะเดียวกันไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยบันดาลโทสะกับการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาชี้ว่าการป้องกันต้องเกิดขณะที่ภัยใกล้ถึง แต่การกระทำด้วยโทสะอาจเกิดขึ้นหลังภัยผ่านพ้นไปได้
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่อาจเป็นทั้งการกระทำโดยบันดาลโทสะและป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเดียวกันได้ เนื่องจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ผู้กระทำจะใช้สิทธิป้องกันได้จะต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และขณะใช้สิทธิป้องกันภยันตรายนั้นยังมิได้สิ้นสุดลงหากภยันตรายนั้นผ่านพ้นไปแล้วผู้กระทำก็ไม่อาจใช้สิทธิป้องกันได้ อย่างไรก็ดี ภยันตรายดังกล่าวแม้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง หากผู้ถูกข่มเหงได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นคือในระยะเวลาต่อเนื่องที่ตนยังมีโทสะอยู่ ย่อมถือว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ การที่ผู้ตายเข้าไปหาจำเลยแล้วเตะสำรับกับข้าวที่จำเลยกับภรรยานั่งรับประทานอยู่ แม้จะเป็นการกระทำที่ผู้ตายมีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นอันถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายก็ตาม แต่จำเลยก็หาได้กระทำสิ่งใดเป็นการตอบโต้ ผู้ตายในขณะผู้ตายเตะสำรับกับข้าวของจำเลยไม่ ต่อเมื่อผู้ตายร้องเรียกจำเลยให้เข้ามาต่อสู้กันพร้อมทั้งด่าจำเลยจำเลยเกิดโทสะจึงเข้าต่อสู้กับผู้ตาย เมื่อสู้ไม่ได้เพราะตัวเล็กกว่า จำเลยจึงวิ่งไปหยิบมีดมาแทงผู้ตายการกระทำของจำเลยต่อผู้ตายเป็นการกระทำเมื่อภยันตรายดังกล่าวที่ผู้ตายก่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การกระทำของผู้ตายก็ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปในขณะนั้นคือในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยในขณะเดียวกันไม่
of 80