คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 68

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 794 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4213/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้มีดสกัดกั้นการทำร้ายซ้ำของผู้ถูกทำร้าย
ผู้เสียหายเมาสุราทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีผู้เข้าห้ามและนำผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางผู้เสียหายสะบัดหลุดจะกลับไปที่เกิดเหตุอีก จำเลยซึ่งพิการขาขวาด้วนไม่อยากให้ผู้เสียหายคนชอบพอกันไปมีเรื่องจึงเข้าขัดขวาง ผู้เสียหายไม่พอใจเตะจำเลยล้มลงแขนซ้ายหัก ครั้นจะเตะซ้ำจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วครึ่งแทงบริเวณลำตัวผู้เสียหายทะลุเข้าไปในช่องท้องเพียงทีเดียวเพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้เสียหายเตะซ้ำ บังเอิญไปถูกที่สำคัญ ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวไม่เกินสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4026/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเมื่อถูกทำร้ายและการใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเอง
โจทก์ร่วมได้ชกจำเลย 1 ที จำเลยจึงใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม 1 ทีแล้วเดินถอยหลังลงบันได โจทก์ร่วมได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลย 1 นัดไม่ถูก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม 1 นัด และลงบันไดหนีไปดังนี้ การที่โจทก์ร่วมชกจำเลย จำเลยใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม แล้วถอยหลังลงบันไดไปนั้น ไม่เป็นการสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วมเมื่อจำเลยถอยหนีลงบันได โจทก์ร่วมใช้อาวุธปืนยิงจำเลยอีกจึงเป็นการประทุษร้ายต่อจำเลยโดยละเมิดต่อกฎหมาย และโจทก์ร่วมสามารถใช้อาวุธปืนยิงจำเลยได้ตลอดเวลา ถือได้ว่าเป็นภยันตรายใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไป 1 นัด แล้วลงบันไดหนีไปเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3759/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงต่อสู้และการป้องกันตัว: ศาลฎีกาวินิจฉัยเหตุแห่งการกระทำและพิพากษาโทษ
จำเลยที่ 1 โกรธที่ ก. ภริยาไม่ยอมกลับบ้านและจำเลยที่ 2น้องของ ก. ห้ามปรามกีดกัน จึงก่อเหตุร้องท้าทายและเป็นฝ่ายยิงปืนเข้าไปในบริเวณบ้านจำเลยที่ 2 ซึ่ง ก. กับจำเลยที่ 2ยืนอยู่ก่อน กระสุนปืนถูกจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 2จึงวิ่งเข้าไปในบ้านเอาปืนมายิงต่อสู้ การกระทำของจำเลยที่ 1จึงไม่เป็นการป้องกันตัวและไม่ใช่การกระทำความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะ เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนจากผู้ป่วยจิตเวชบุกรุกทำร้าย: การกระทำเพื่อป้องกันชีวิตและร่างกายเป็นเหตุสมควร
ขณะที่จำเลยกับ ส. บุตรของจำเลยนั่งรับประทานอาหารอยู่ในครัวของจำเลย ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่น ได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยเรียก ส. ออกมาพูดและกล่าวหาว่า ส. ลักน้ำมันของผู้เสียหายไป เมื่อ ส. ปฏิเสธ ผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิง 1 นัด จากนั้นผู้เสียหายยังถือปืนและมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลยซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยาและบุตรของจำเลยได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป 6 นัด โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใดและผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมายจากผู้มีภาวะวิกลจริตที่คุกคาม
ขณะที่จำเลยกับ ส. บุตรของจำเลยนั่งรับประทานอาหารอยู่ในครัวของจำเลย ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่น ได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยเรียก ส.ออกมาพูดและกล่าวหาว่า ส. ลักน้ำมันของผู้เสียหายไป เมื่อ ส. ปฏิเสธ ผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิง 1 นัด จากนั้นผู้เสียหายยังถือปืนและมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลยซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยาและบุตรของจำเลยได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป6 นัด โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใดและผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมายในกรณีผู้ป่วยจิตเวชบุกรุกทำร้ายด้วยอาวุธ
จำเลยกับบุตรนั่งรับประทานอาหารเข้าอยู่ในครัว ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่นได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลย เรียกบุตรของจำเลยออกมาพูดและกล่าวหาว่าบุตรของจำเลยลักน้ำมันของผู้เสียหายไปซึ่งบุตรของจำเลยปฏิเสธ ผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิงขึ้น 1 นัดและยังถือปืนกับมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านของจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลยซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยา และบุตรของจำเลยได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป 6 นัด โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใดและผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุจำเลยจึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3475/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนจากบุคคลวิกลจริต: การกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ
ขณะที่จำเลยกับ ส. บุตรของจำเลยนั่งรับประทานอาหารอยู่ในครัวของจำเลย ผู้เสียหายซึ่งอยู่ในภาวะของโรคจิตมีอาการคลุ้มคลั่งจะทำร้ายผู้อื่น ได้บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยเรียก ส.ออกมาพูดและกล่าวหาว่า ส. ลักน้ำมันของผู้เสียหายไป เมื่อ ส. ปฏิเสธ ผู้เสียหายก็ควักปืนสั้นออกมายิง 1 นัด จากนั้นผู้เสียหายยังถือปืนและมีดบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยด้วยกิริยาอาการขู่เข็ญคุกคามจะยิงจำเลยและบุตรของจำเลยซึ่งในภาวะเช่นนั้นจำเลยย่อมเข้าใจว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นคนวิกลจริตอาจยิงทำร้ายจำเลยภริยาและบุตรของจำเลยได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายไป6 นัด โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายล้มลงหรือหยุดการคุกคามเมื่อใดและผู้เสียหายยังสามารถหลบหนีออกไปจากบ้านของจำเลยได้เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อป้องกันตน และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3294/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุและการครอบครองอาวุธปืนของภริยา ผู้ต้องหาไม่มีความผิด
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 2 นาฬิกา ผู้ตายกับพวกปล้นเอาทรัพย์สินในบ้านที่เกิดเหตุไปได้หลายอย่าง จากนั้นผู้ตายซึ่งมีอาวุธปืนพกพร้อมกระสุนปืนได้เข้าไปที่มุ้งของจำเลยในขณะที่จำเลยนอนอยู่ในมุ้งแต่ผู้เดียวในกระท่อมในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุ แล้วผู้ตายร้องบอกให้จำเลยนอนเงียบ ๆ จำเลยจึงใช้ปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตายเป็นของ ล.ภริยาจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้มีและใช้โดยชอบด้วยกฎหมาย ล.มอบอาวุธปืนและกระสุนปืนให้จำเลยนำไปเฝ้าคุ้มครองดูแลทรัพย์สินรวมของจำเลยและ ล. ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านของจำเลยและ ล.ในขณะที่ ล. ก็อยู่ที่บ้านด้วย ดังนี้ ถือได้ว่าการครอบครองอาวุธปืนและกระสุนปืนยังอยู่กับ ล. จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ดุจ กัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายืนยกฟ้องจำเลยที่ 3 ผู้ถูกทำร้ายและปรับบทจำเลยที่ 1-2
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีปากเสียงด่าโต้ตอบกันแล้วต่างหยุดไปต่อมาจำเลยที่ 3 เดินออกจากแผงร้านค้าของตนไปโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ.และพูดคุยกับอ. เป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความโกรธแค้นจำเลยที่ 1 ขั้นตอนการสมัครใจทะเลาะวิวาทจึงยุติลงแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ผู้เป็นบุตรทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 หลังจากจำเลยที่ 3 กลับจากการโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ. จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297และไม่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 3 ก่อนจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส การที่จำเลยที่ 3 ตอบโต้ไปบ้างแม้ทำให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิด โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 297ประกอบด้วยมาตรา 69 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 แม้ปัญหานี้จะยุติในศาลชั้นต้น เพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดตามมาตรา 297 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้โดยไม่มีการเพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกาย: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและการพิสูจน์ฝ่ายลงมือก่อน
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีปากเสียงด่าโต้ตอบกันแล้วต่างหยุดไป ต่อมาจำเลยที่ 3 เดินออกจากแผงร้านค้าของตนไปโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ.และพูดคุยกับอ.เป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความโกรธแค้นจำเลยที่ 1 ขั้นตอนการสมัครใจทะเลาะวิวาทจึงยุติลงแล้งการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้เป็นบุตรทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 หลังจากจำเลยที่ 3 กลับจากการโทรศัพท์ที่แผงของ อ. จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 และไม่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69.
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 3 ก่อนจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสการที่จำเลยที่ 3 ตอบโต้ไปบ้างแม้ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิด.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป.อ.มาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 แม้ปัญหานี้จะยุติในศาลชั้นต้น เพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดตามมาตรา 297 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้โดยไม่มีการเพิ่มโทษ.
of 80