คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 68

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 794 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ด้วยมีดครัว
จำเลยกับผู้ตายอยู่บ้านหลังเดียวกัน วันเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายร่วมวงดื่มสุรากัน ผู้ตายเมาสุรา จึงมีผู้แยกผู้ตายไป ต่อมาผู้ตายกลับมาอีกถือมีดทำครัวเข้ามาในห้องจำเลยในลักษณะจะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย ผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยจึงมีสิทธิป้องกันตนเองได้แต่ผู้ตายมีเพียงมีดทำครัว การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัด จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการที่จำต้องทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้เมื่อถูกทำร้ายด้วยมีดครัว
การที่ผู้ตายถือมีดใช้ทำครัวบุกรุกเข้าไปในห้องจำเลยลักษณะที่จะใช้มีดนั้นทำร้ายร่างกายจำเลย นับได้ว่าการกระทำของผู้ตายเป็นภยันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุ เพื่อป้องกันตนเองได้ แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งมีอานุภาพในการทำลายร้ายแรงยิงผู้ตายถึง 5 นัดแม้จะปรากฏว่าผู้ตายมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยก็ตาม ก็นับว่าเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา69.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: การยิงเพื่อยับยั้งการทำร้ายในบ้าน
โจทก์ร่วมถือไม้เป็นอาวุธไปที่บ้านจำเลยพร้อมกับ ส. และร้องท้าทายจำเลยออกมาตีกัน โจทก์ร่วมเดินเข้าหาจำเลย จำเลยตกใจเกรงว่าโจทก์ร่วมจะเข้ามาทำร้ายจึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนสั้นของสามีที่เก็บไว้ที่หัวนอนแล้วยิงไปที่ขาโจทก์ร่วม 3 นัด โดยเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วม เมื่อยิงถูกขาโจทก์ร่วม 1 นัดจำเลยก็ไม่ยิงต่อไป การยิงของจำเลยดังกล่าวเพียงเพื่อยับยั้งมิให้โจทก์ร่วมเข้ามาทำร้ายจำเลยในบ้านเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยหยิบอาวุธปืนของสามีจำเลยซึ่งสามีจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนแล้ว มาใช้ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ถือว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: ยิงเพื่อยับยั้งการทำร้าย และการครอบครองอาวุธเพื่อป้องกัน
จำเลยใช้ปืนยิงโจทก์ร่วมด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 3 เมตรโดยยิงไปที่ขา 3 นัด ถูกขาโจทก์ร่วม 1 นัด แล้วจำเลยไม่ได้ยิงต่ออีกถือว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายโจทก์ร่วมเท่านั้น มิได้มีเจตนาฆ่าด้วย โจทก์ร่วมถือไม้เป็นอาวุธไปที่หน้าบ้านจำเลยพร้อมกับ ส. และร้องท้าทายจำเลยให้ออกมาตีกัน แล้วโจทก์ร่วมเดินเข้าหาจำเลยจำเลยตกใจเกรงว่าโจทก์ร่วมจะเข้ามาทำร้าย จึงวิ่งไปเอาอาวุธปืนสั้นของสามีที่เก็บไว้ที่หัวนอนแล้วยิงไปที่ขาโจทก์ร่วม 3 นัด จำเลยเป็นหญิง โจทก์ร่วมมีไม้เป็นอาวุธและมากับ ส. ถือว่าจำเลยยิงโจทก์ร่วมเพียงเพื่อยับยั้งมิให้โจทก์ร่วมเข้ามาทำร้ายจำเลยเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยหยิบอาวุธปืนของกลางมาใช้เพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78-79/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวและการประเมินบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส
การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์นั้น ไม่เป็นการป้องกัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4544/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายจากการบุกรุกและประทุษร้าย ผู้ถูกบุกรุกมีสิทธิป้องกันสิทธิและทรัพย์สินของตนได้
ผู้ตายกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนโดยเจตนาที่จะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยได้ยินเสียงสัญญาณป้องกันขโมยดังขึ้นจึงนำอาวุธปืนสั้นลงมาดู ก็ถูกฝ่ายผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงก่อนในระยะใกล้แม้กระสุนปืนไม่ถูกจำเลยก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าฝ่ายผู้ตายจะซ้ำอีกหรือไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางกลุ่มคนร้ายซึ่งมีผู้ตายอยู่ด้วยเพียงนัดเดียวในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของตนให้พ้นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายกับพวกพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4544/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ป้องกันสิทธิและทรัพย์สิน: การยิงเพื่อป้องกันตัวจากการบุกรุกและประทุษร้าย
ผู้ตายกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านของจำเลยในเวลากลางคืนโดยเจตนาที่จะลักทรัพย์ เมื่อจำเลยได้ยินเสียงสัญญาณป้องกันขโมยดังขึ้นจึงนำอาวุธปืนสั้นลงมาดู ก็ถูกฝ่ายผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงก่อนในระยะใกล้แม้กระสุนปืนไม่ถูกจำเลยก็ยังไม่เป็นการแน่นอนว่าฝ่ายผู้ตายจะยิงซ้ำอีกหรือไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทางกลุ่มคนร้ายซึ่งมีผู้ตายอยู่ด้วยเพียงนัดเดียวในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของตนให้พ้นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายกับพวกพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4500/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ การใช้ขวดตีผู้ตายถึงแก่ความตาย ศาลยืนโทษจำคุก
ผู้ตายเตะต่อยและใช้ขวดตีจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้ขวดตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่ผู้ตายเมาสุราและเข้าไปทำร้ายจำเลยก่อนจำเลยก็ชอบที่จะป้องกันได้ตามกฎหมาย แต่เนื่องจากจำเลยทราบอยู่แล้วว่าผู้ตายชอบด่าและทำร้ายคนในบ้าน ทั้งผู้ตายมีอายุมากและยังเมาสุรา จำเลยอาจกระทำการใดเพื่อป้องกันโดยไม่จำต้องรุนแรงจนถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายก็ได้ การที่จำเลยใช้ขวดตีผู้ตายตรงบริเวณที่สำคัญของร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้น จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4284/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายในคดีฆ่าผู้อื่น
ผู้ตายบุกรุกขึ้นไปบนบ้านจำเลยในเวลากลางคืนโดยผู้ตายกอดรัดคอพาพี่สาวจำเลยขึ้นไปเป็นตัวประกัน แล้วผู้ตายเตะทำลายทรัพย์สินต่าง ๆ บนบ้าน จำเลยกับพวกจึงวิ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในห้องนอนและปิดประตูไว้ ผู้ตายใช้เท้าถีบประตูห้องและร้องบอกให้ทุกคนออกมามิฉะนั้นจะฆ่าให้หมด ผู้ตายถีบประตูหลายครั้งจนประตูเปิดออกและจะเข้าไปทำร้ายจำเลย จำเลยจึงยิงผู้ตายล้มหงายลงกลางบ้านพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ตายไม่มีอาวุธและได้ความว่าผู้ตายมีอาการมึนเมาสุรามาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึง 2 นัด จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3651/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองเกินสมควรแก่เหตุ กรณีถูกทำร้ายทางเพศและร่างกาย
ผู้ตายกับพวกร่วมกันดื่มสุราโดยมีจำเลยนั่งอยู่ด้วย ผู้ตายจับไหล่ นมและแขนจำเลย จำเลยโกรธเดินออกจากบ้านผู้ตาย ผู้ตายยังเดินตามเข้ามากอดจำเลยทางด้านหลัง ฉุดและกอดปล้ำจนจำเลยล้มลง ผู้ตายขึ้นนั่งทับหน้าท้องจำเลยพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อของตนและของจำเลย จำเลยจึงใช้มีดที่ติดตัวมาแทงผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้มีบาดแผลถึง 30 แผล แต่เป็นการแทงติดต่อกันไปซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าภยันตรายดังกล่าวหมดไปแล้วหรือไม่ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันแต่กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69
of 80