พบผลลัพธ์ทั้งหมด 794 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3089/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายและการสมัครใจวิวาท การอ้างเหตุป้องกันและบันดาลโทสะที่ไม่สมเหตุสมผล
การที่ผู้เสียหายที่ 1 ไปท้าทายจำเลยโดยพูดเพียงว่า"มึงออกมาต่อยกับกูตัวต่อตัวถ้าแน่จริง" แม้จำเลยไม่มีหน้าที่ จะต้องหลบหนีก็ตาม แต่หากจำเลยไม่สมัครใจที่จะวิวาท หรือต่อสู้กับผู้เสียหายที่ 1 จำเลยก็ชอบที่จะไม่ตอบโต้ หรือ ออกไปพบผู้เสียหายที่ 1 แต่จำเลยกลับออกไปพบผู้เสียหายที่ 1 โดยพกอาวุธปืนไปด้วย แสดงว่าจำเลยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับผู้เสียหายที่ 1 และเข้าสู่ภัยโดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจ แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะชักมีดออกมาเพื่อจ้วงแทงจำเลย ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะวิวาทกัน จำเลยไม่มีสิทธิ ใช้ไม้ตีผู้เสียหายทั้งสองและใช้ปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 โดยอ้างเหตุป้องกันตามกฎหมาย ทั้งการที่ผู้เสียหายที่ 1มาเรียกจำเลยให้ออกไปชกต่อยกันตัวต่อตัว ไม่เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จำเลยใช้ไม้กลมยาวประมาณ 1 ศอก ตีที่ศีรษะ ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้มีรอยช้ำที่บริเวณท้ายทอยใช้เวลารักษาประมาณ 5 วัน เป็นการใช้อาวุธทำร้ายที่บริเวณอวัยวะสำคัญ เป็นเหตุ ให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกทำร้ายก่อนหน้า
ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยมีสาเหตุกันอยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยก็แยกกันไป สาเหตุครั้งแรกจึงสิ้นสุดไปแล้ว เมื่อต่อมาผู้เสียหายที่ 1 พา ส.มาพบจำเลยในลักษณะที่ฝ่ายผู้เสียหายที่ 1 มีจำนวนมากกว่าแล้วผู้เสียหายที่ 1 เข้าตบหน้าจำเลยอันเป็นการประทุษร้ายต่อจำเลยเช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวได้ แต่การที่จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายที่ 1ถึง 2 นัด โดยเฉพาะการยิงนัดที่ 2 ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้วิ่งหนีไปแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตาม ป.อ.มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายที่เกินสมควรแก่เหตุจากการทำร้ายร่างกายและการยิงตอบโต้
ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยมีสาเหตุกันอยู่ก่อนแล้วแต่หลังจากนั้นผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยก็แยกกันไปสาเหตุครั้งแรกจึงสิ้นสุดไปแล้ว เมื่อต่อมาผู้เสียหายที่ 1พาส.มาพบจำเลยในลักษณะที่ฝ่ายผู้เสียหายที่ 1มีจำนวนมากกว่าแล้วผู้เสียหายที่ 1 เข้าตบหน้าจำเลยอันเป็นการประทุษร้ายต่อจำเลยเช่นนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัวได้ แต่การที่จำเลยใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายที่ 1 ถึง 2 นัด โดยเฉพาะการยิงนัดที่ 2ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ได้วิ่งหนีไปแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าพนักงานจับกุมและการต่อสู้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ความชอบด้วยกฎหมายของการจับกุม
จำเลยที่ 1 เพียงแต่เข้าไปชักชวนผู้โดยสารให้ใช้บริการรถแท็กซี่ของจำเลยที่ 1 แม้จะทำให้รถแท็กซี่ที่อยู่ในความควบคุมของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยต้องขาดรายได้ไปบางส่วน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รบกวนผู้โดยสารอากาศยานให้ได้รับความเดือดร้อนรำคาญแต่อย่างใด กรณีก็ไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 1มีความผิดฐานรบกวนผู้โดยสารตาม พ.ร.บ.การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยพ.ศ.2522 มาตรา 4 (2)
ต.มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงานเวรฝ่ายรักษาความปลอดภัยต.เป็นเจ้าพนักงานตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 ซึ่งแต่งตั้งให้หัวหน้าพนักงานเวรฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ขณะเกิดเหตุ ต.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานไม่ได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งหก เพียงแต่ ต.อนุญาตให้อ.และ ย.ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งหก โดย ต.ไปถึงที่เกิดเหตุหลังจากจำเลยทั้งหกหลบหนีไปแล้ว กรณีจึงไม่อาจถือว่า ต.เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการหรือกระทำตามหน้าที่ เพราะ ต.ไม่ได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งหก และเมื่อไม่มีเจ้าพนักงานปฏิบัติการหรือกระทำตามหน้าที่เช่นนี้แล้ว การที่ อ.และ ย.เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานในการที่เจ้าพนักงานปฏิบัติการหรือกระทำตามหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. แต่เป็นการเข้าจับกุมโดยไม่มีอำนาจ แม้จำเลยทั้งหกจะต่อสู้ขัดขวางเป็นเหตุให้ อ.และ ย.ได้รับอันตรายเป็นรอยถลอกและบวมเล็กน้อยตามบริเวณแขนข้อมือและขมับ ก็ต้องถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางการจับกุมและทำร้ายผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้เจ้าพนักงานจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเองว่าการกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดฐานรบกวนผู้โดยสารซึ่งจะต้องถูกจับหรือไม่บุคคลอื่นหรือผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานอาจไม่สามารถวินิจฉัยได้ จึงเป็นกรณีที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานในอันที่จะมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนตนได้
แม้คดีในส่วนของจำเลยที่ 3 จะถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 3 ไม่อุทธรณ์ฎีกา แต่เมื่อเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
ต.มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงานเวรฝ่ายรักษาความปลอดภัยต.เป็นเจ้าพนักงานตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง แต่งตั้งเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติการตาม พ.ร.บ.การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 ซึ่งแต่งตั้งให้หัวหน้าพนักงานเวรฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ขณะเกิดเหตุ ต.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานไม่ได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งหก เพียงแต่ ต.อนุญาตให้อ.และ ย.ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งหก โดย ต.ไปถึงที่เกิดเหตุหลังจากจำเลยทั้งหกหลบหนีไปแล้ว กรณีจึงไม่อาจถือว่า ต.เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการหรือกระทำตามหน้าที่ เพราะ ต.ไม่ได้เข้าจับกุมจำเลยทั้งหก และเมื่อไม่มีเจ้าพนักงานปฏิบัติการหรือกระทำตามหน้าที่เช่นนี้แล้ว การที่ อ.และ ย.เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานในการที่เจ้าพนักงานปฏิบัติการหรือกระทำตามหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. แต่เป็นการเข้าจับกุมโดยไม่มีอำนาจ แม้จำเลยทั้งหกจะต่อสู้ขัดขวางเป็นเหตุให้ อ.และ ย.ได้รับอันตรายเป็นรอยถลอกและบวมเล็กน้อยตามบริเวณแขนข้อมือและขมับ ก็ต้องถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางการจับกุมและทำร้ายผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่
เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้เจ้าพนักงานจะต้องใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเองว่าการกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดฐานรบกวนผู้โดยสารซึ่งจะต้องถูกจับหรือไม่บุคคลอื่นหรือผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานอาจไม่สามารถวินิจฉัยได้ จึงเป็นกรณีที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานในอันที่จะมอบหมายให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนตนได้
แม้คดีในส่วนของจำเลยที่ 3 จะถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 3 ไม่อุทธรณ์ฎีกา แต่เมื่อเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรยกฟ้องตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงเพื่อป้องกันตนต้องมีเหตุอันตรายใกล้จะถึง การกระทำเป็นกรรมต่างกัน
แม้ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 จะใช้แขนรัดคอจำเลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่า โจทก์ร่วมที่ 1 มีอาวุธใด ๆ ที่จะใช้ทำร้ายจำเลย การที่จำเลยบอกให้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งใช้แขนรัดคอปล่อยตัวจำเลยแต่โจทก์ที่ 1 ไม่ยอมปล่อย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 1 หลายนัด โดยโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่มีอาวุธใด ๆที่จะใช้ทำร้ายจำเลยได้นั้น จำเลยจะอ้างว่าเป็นการยิงเพื่อป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและจำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่การกระทำดังกล่าวไม่บรรลุผล เพียงแต่ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับอันตรายสาหัสและการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสอง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 1 เพื่อให้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งใช้แขนรัดคอปล่อยจำเลย และยิง โจทก์ร่วมที่ 2 โดยอ้างว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ถือมีดจะเข้ามาแทง จำเลยเพื่อช่วยเหลือโจทก์ที่ 1 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อบุคคลต่างคนกัน และเป็นคนละขั้นตอน มิใช่เป็นการยิงในคราวเดียวต่อเนื่องกัน จึงเป็นความผิดคนละกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงเพื่อป้องกันตนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และความผิดฐานพยายามฆ่า
แม้ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 จะใช้แขนรัดคอจำเลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมที่ 1 มีอาวุธใด ๆ ที่จะใช้ทำร้ายจำเลย การที่จำเลยบอกให้โจทก์ร่วมที่ 1ซึ่งใช้แขนรัดคอปล่อยตัวจำเลย แต่โจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ยอมปล่อย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 1 หลายนัด โดยโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่มีอาวุธใด ๆ ที่จะใช้ทำร้ายจำเลยได้นั้น จำเลยจะอ้างว่าเป็นการยิงเพื่อป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมทั้งสองโดยเจตนาฆ่า และจำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่การกระทำดังกล่าวไม่บรรลุผล เพียงแต่ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสอง
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 1 เพื่อให้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งใช้แขนรัดคอปล่อยตัวจำเลย และยิงโจทก์ร่วมที่ 2 โดยอ้างว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ถือมีดจะเข้ามาแทงจำเลยเพื่อช่วยเหลือโจทก์ร่วมที่ 1 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อบุคคลต่างคนกัน และเป็นคนละขั้นตอน มิใช่เป็นการยิงในคราวเดียวต่อเนื่องกัน จึงเป็นความผิดคนละกรรมต่างกัน
เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมทั้งสองโดยเจตนาฆ่า และจำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่การกระทำดังกล่าวไม่บรรลุผล เพียงแต่ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส และการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมทั้งสอง
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 1 เพื่อให้โจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งใช้แขนรัดคอปล่อยตัวจำเลย และยิงโจทก์ร่วมที่ 2 โดยอ้างว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ถือมีดจะเข้ามาแทงจำเลยเพื่อช่วยเหลือโจทก์ร่วมที่ 1 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อบุคคลต่างคนกัน และเป็นคนละขั้นตอน มิใช่เป็นการยิงในคราวเดียวต่อเนื่องกัน จึงเป็นความผิดคนละกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7667/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธมีด: การพิจารณาบาดแผลและพฤติการณ์เพื่อประเมินเจตนาของผู้กระทำ
แม้ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมและจำเลยต่างทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โดยจำเลยใช้มีดของกลางแทงทำร้ายโจทก์ร่วม ส่วนโจทก์ร่วมใช้ไม่ตีจำเลยจนได้รับบาดเจ็บแต่เมื่อปรากฏว่าขณะเกิดเหตุจำเลยดื่มสุราจนมึนเมา กลับมายังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านของมารดาโจทก์ร่วมที่จำเลยเช่าอยู่ และได้ขึ้นไปนอนขวางประตูหน้าห้องเช่าของบุคคลอื่นโจทก์ร่วมและเพื่อนของจำเลยช่วยกันพยุงจำเลยลงมาที่ห้องพักของจำเลยบริเวณชั้นล่าง ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยถูกบุคคลอื่นพูดจาถากถาง เกิดความไม่พอใจ จึงใช้มีดของกลางทุบตีรั้วสังกะสีและส่งเสียงดัง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุตรเจ้าของบ้านย่อมมีความชอบธรรมที่จะเข้าทำการห้ามปรามจำเลยแต่จำเลยกลับใช้มีดของกลางแทงโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงใช้ไม้ตีต่อสู้เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นจำเลยเป็นผู้ก่อขึ้นก่อนการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมดังกล่าว จึงมิใช่การป้องกันตัว โจทก์ร่วมถูกจำเลยใช้มีดของกลางซึ่งมีขนาดความยาวถึง11 นิ้วแทงหลายทีในระยะกระชั้นชิดติดต่อกัน เกิดบาดแผล4 แห่ง ซึ่งล้วนอยู่ในตำแหน่งของอวัยวะสำคัญบาดแผลดังกล่าวบางแห่งเป็นบาดแผลฉกรรจ์ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีมีโอกาสถึงแก่ชีวิตได้ แสดงว่าจำเลยแทงโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาฆ่า แต่เนื่องจากแพทย์ทำการรักษาได้ทันโจทก์ร่วมจึงไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและการประเมินเจตนาในการฆ่า: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายเข้ามาต่อว่าและตบหน้าจำเลยจำเลยโมโหจึงชักปืนยิงผู้ตาย 3 นัด ซึ่งในขณะเกิดเหตุมีผู้อยู่ในเหตุการณ์เพียง 3 คน คือ อ. พยานโจทก์จำเลย และผู้ตาย อ. ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยหรือผู้ตายมาก่อน จึงเป็นพยานคนกลาง พยานปากนี้จึงมีน้ำหนักมาก ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิจารณาคำเบิกความของจำเลยแล้ว จำเลยเพียงแต่เกรงว่าผู้ตายจะชักปืนออกมายิงทั้งที่ยังไม่พฤติการณ์ที่จะส่อว่าผู้ตายจะชักปืนออกมายิงทำร้ายจำเลยและไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธปืนจึงถือว่ายังไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันแต่อย่างใดการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมาย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72โจทก์ร่วมขอขยายเวลาอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่อนุญาต จึงถือว่าโจทก์ร่วมไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวต้องถือว่าปัญหาดังกล่าวสำหรับโจทก์ร่วมได้ยุติแล้ว โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ดังนั้นแม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาโจทก์ร่วมมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ผู้เสียหายเริ่มก่อเหตุ ศาลไม่ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่า และท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กัน และเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลย ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้ แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย
ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุต ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวา ราวนมซ้าย และชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่ง ซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลย ตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัว การที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ 1 ฟุต ใบมีดกว้างประมาณ 4 นิ้ว ซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวา ราวนมขวา ราวนมซ้าย และชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ และบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม 9 แห่ง ซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5188/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกทำร้ายก่อน ศาลไม่ถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนด้วยการด่าและท้าทายจำเลยให้มาต่อสู้กันและเข้ามากระชากคอเสื้อจำเลยย่อมเป็นเหตุให้จำเลยสามารถกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตัวได้แต่จะต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุด้วย ผู้เสียหายเพียงแต่ดึงคอเสื้อจำเลยเท่านั้นไม่ได้ลงมือทำร้ายจำเลยตลอดจนผู้เสียหายไม่มีอาวุธติดตัวการที่จำเลยใช้มีดปาดตาลขนาดยาวทั้งตัวมีดและด้ามประมาณ1ฟุตใบมีดกว้างประมาณ4นิ้วซึ่งเป็นมีดขนาดใหญ่แทงผู้เสียหายที่บริเวณไหปลาร้าขวาราวนมขวาราวนมซ้ายและชายโครงซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและบริเวณส่วนอื่นของร่างกายรวม9แห่งซึ่งเป็นบาดแผลที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย