คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 69

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 316 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การกระทำต่อเนื่องจากการป้องกันภัยอันตรายถึงชีวิต
ผู้ตายกับพวกรวม 3 คน ถีบประตูห้องพักของจำเลยเพื่อจะเข้าไปทำร้ายจำเลยจนกลอนประตูหลุด ประตูเปิด แล้วเข้าไปทำร้ายจำเลยและจะทำร้ายภรรยาจำเลยซึ่งมีครรภ์อยู่เป็นการกระทำทีอุกอาจและเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ทั้งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดแทงคนทั้งสาม แม้จะแทงหลายทีก็เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีความผิด
หลังจากผู้ตายวิ่งออกมาจากห้องพักของจำเลยแล้ว จำเลยติดตามออกมาและใช้มีดแทงผู้ตายอีก 3 ที เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการกระทำของจำเลยในตอนแรกซึ่งเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่หมดโอกาสทำร้ายจำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การกระทำต่อเนื่องหลังพ้นอันตราย
ผู้ตายกับพวกรวม 3 คน ถีบประตูห้องพักของจำเลยจนกลอนประตูหลุดประตูเปิด แล้วเข้าไปทำร้ายจำเลยและจะทำร้ายภรรยาจำเลยซึ่งมีครรภ์ เป็นการกระทำที่อุกอาจและเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย ทั้งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดแทงคนทั้งสาม แม้จะแทงหลายทีก็เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีความผิด หลังจากผู้ตายวิ่งออกมาจากห้องพักของจำเลยแล้ว จำเลยติดตามออกมาและใช้มีดแทงผู้ตายอีก 3 ที เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการกระทำของจำเลยในตอนแรกซึ่งเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่เมื่อจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่หมดโอกาสทำร้ายจำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองเกินกว่าเหตุ: การกระทำต่อเนื่องหลังพ้นภัยอันตราย
ผู้ตายกับพวกรวม 3 คน ถีบประตูห้องพักของจำเลยเพื่อจะเข้าไปทำร้ายจำเลยจนกลอนประตูหลุด ประตูเปิด แล้วเข้าไปทำร้ายจำเลยและจะทำร้ายภรรยาจำเลยซึ่ง มีครรภ์อยู่เป็นการกระทำทีอุกอาจและเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายทั้งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดแทงคนทั้งสาม แม้จะแทงหลายทีก็เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีความผิด หลังจากผู้ตายวิ่งออกมาจากห้องพักของจำเลยแล้ว จำเลยติดตามออกมาและใช้มีดแทงผู้ตายอีก 3 ที เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการกระทำของจำเลยในตอนแรกซึ่งเป็นการป้องกันโดยชอบด้วย กฎหมายแต่เมื่อจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่หมดโอกาสทำร้ายจำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4213/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: คนพิการถูกทำร้าย ใช้มีดสกัดการทำร้ายซ้ำ ถือเป็นการป้องกันตัว
ผู้เสียหายเมาสุราทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีผู้เข้าห้ามและนำผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางผู้เสียหายสะบัดหลุดจะกลับไปที่เกิดเหตุอีก จำเลยซึ่งพิการขาขวาด้วนไม่อยากให้ผู้เสียหายคนชอบพอกันไปมีเรื่องจึงเข้าขัดขวาง ผู้เสียหายไม่พอใจเตะจำเลยล้มลงแขนซ้ายหัก ครั้นจะเตะซ้ำจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วครึ่งแทงบริเวณลำตัวผู้เสียหายทะลุเข้าไปในช่องท้องเพียงทีเดียวเพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้เสียหายเตะซ้ำ บังเอิญไปถูกที่สำคัญ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวไม่เกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4213/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: จำเลยพิการถูกทำร้าย ใช้มีดสกัดการทำร้ายซ้ำ
ผู้เสียหายเมาสุราทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีผู้เข้าห้ามและนำผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางผู้เสียหายสะบัดหลุดจะกลับไปที่เกิดเหตุอีก จำเลยซึ่งพิการขาขวาด้วนไม่อยากให้ผู้เสียหายคนชอบพอกันไปมีเรื่องจึงเข้าขัดขวาง ผู้เสียหายไม่พอใจเตะจำเลยล้มลงแขนซ้ายหัก ครั้นจะเตะซ้ำจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วครึ่งแทงบริเวณลำตัวผู้เสียหายทะลุเข้าไปในช่องท้องเพียงทีเดียวเพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้เสียหายเตะซ้ำ บังเอิญไปถูกที่สำคัญ ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวไม่เกินสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4213/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้มีดสกัดกั้นการทำร้ายซ้ำของผู้ถูกทำร้าย
ผู้เสียหายเมาสุราทำร้ายร่างกายผู้อื่น มีผู้เข้าห้ามและนำผู้เสียหายกลับบ้าน ระหว่างทางผู้เสียหายสะบัดหลุดจะกลับไปที่เกิดเหตุอีก จำเลยซึ่งพิการขาขวาด้วนไม่อยากให้ผู้เสียหายคนชอบพอกันไปมีเรื่องจึงเข้าขัดขวาง ผู้เสียหายไม่พอใจเตะจำเลยล้มลงแขนซ้ายหัก ครั้นจะเตะซ้ำจำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว 15 นิ้วครึ่งแทงบริเวณลำตัวผู้เสียหายทะลุเข้าไปในช่องท้องเพียงทีเดียวเพื่อสกัดกั้นมิให้ผู้เสียหายเตะซ้ำ บังเอิญไปถูกที่สำคัญ ดังนี้การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวไม่เกินสมควรแก่เหตุ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4026/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเมื่อถูกทำร้ายและการใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันตนเอง
โจทก์ร่วมได้ชกจำเลย 1 ที จำเลยจึงใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม 1 ทีแล้วเดินถอยหลังลงบันได โจทก์ร่วมได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลย 1 นัดไม่ถูก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม 1 นัด และลงบันไดหนีไปดังนี้ การที่โจทก์ร่วมชกจำเลย จำเลยใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม แล้วถอยหลังลงบันไดไปนั้น ไม่เป็นการสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วมเมื่อจำเลยถอยหนีลงบันได โจทก์ร่วมใช้อาวุธปืนยิงจำเลยอีกจึงเป็นการประทุษร้ายต่อจำเลยโดยละเมิดต่อกฎหมาย และโจทก์ร่วมสามารถใช้อาวุธปืนยิงจำเลยได้ตลอดเวลา ถือได้ว่าเป็นภยันตรายใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไป 1 นัด แล้วลงบันไดหนีไปเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4026/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวตามกฎหมายอาญา: การกระทำเพื่อป้องกันภัยอันตรายที่ใกล้จะถึง
โจทก์ร่วมได้ชกจำเลย 1 ที จำเลยจึงใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม 1 ทีแล้วเดินถอยหลังลงบันได โจทก์ร่วมได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลย 1 นัดไม่ถูก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม 1 นัด และลงบันไดหนีไปดังนี้ การที่โจทก์ร่วมชกจำเลย จำเลยใช้เท้าถีบโจทก์ร่วม แล้วถอยหลังลงบันไดไปนั้น ไม่เป็นการสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กับโจทก์ร่วมเมื่อจำเลยถอยหนีลงบันได โจทก์ร่วมใช้อาวุธปืนยิงจำเลยอีกจึงเป็นการประทุษร้ายต่อจำเลยโดยละเมิดต่อกฎหมาย และโจทก์ร่วมสามารถใช้อาวุธปืนยิงจำเลยได้ตลอดเวลา ถือได้ว่าเป็นภยันตรายใกล้จะถึง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไป 1 นัด แล้วลงบันไดหนีไปเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกายืนยกฟ้องจำเลยที่ 3 ผู้ถูกทำร้ายและปรับบทจำเลยที่ 1-2
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีปากเสียงด่าโต้ตอบกันแล้วต่างหยุดไปต่อมาจำเลยที่ 3 เดินออกจากแผงร้านค้าของตนไปโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ.และพูดคุยกับอ. เป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความโกรธแค้นจำเลยที่ 1 ขั้นตอนการสมัครใจทะเลาะวิวาทจึงยุติลงแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ผู้เป็นบุตรทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 หลังจากจำเลยที่ 3 กลับจากการโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ. จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297และไม่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 3 ก่อนจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส การที่จำเลยที่ 3 ตอบโต้ไปบ้างแม้ทำให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิด โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 297ประกอบด้วยมาตรา 69 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 แม้ปัญหานี้จะยุติในศาลชั้นต้น เพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดตามมาตรา 297 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้โดยไม่มีการเพิ่มโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกาย: การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและการพิสูจน์ฝ่ายลงมือก่อน
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มีปากเสียงด่าโต้ตอบกันแล้วต่างหยุดไป ต่อมาจำเลยที่ 3 เดินออกจากแผงร้านค้าของตนไปโทรศัพท์ที่แผงร้านค้าของ อ.และพูดคุยกับอ.เป็นเวลานานโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 มีความโกรธแค้นจำเลยที่ 1 ขั้นตอนการสมัครใจทะเลาะวิวาทจึงยุติลงแล้งการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้เป็นบุตรทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 หลังจากจำเลยที่ 3 กลับจากการโทรศัพท์ที่แผงของ อ. จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 และไม่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา 69.
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายจำเลยที่ 3 ก่อนจนถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสการที่จำเลยที่ 3 ตอบโต้ไปบ้างแม้ทำให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิด.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตาม ป.อ.มาตรา 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 297 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 391 แม้ปัญหานี้จะยุติในศาลชั้นต้น เพราะทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อุทธรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดตามมาตรา 297 ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้โดยไม่มีการเพิ่มโทษ.
of 32