พบผลลัพธ์ทั้งหมด 316 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบธรรมในภาวะฉุกเฉิน: การกระทำเกินสมควรแก่เหตุ
การที่ผู้ตายขึ้นเรือนจำเลยในกลางคืนยามวิกาล ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้. นอกจากว่าเป็นการขึ้นมาในลักษณะอาการของคนร้าย. จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการป้องกันภยันตรายได้ ตามพฤติการณ์ที่จำเลยต้องประสบภยันตรายขณะนั้น. ฉะนั้นแม้จำเลยจะฟันผู้ตายหลายที จำเลยย่อมไม่มีโอกาสจะยับยั้งชั่งใจกระทำน้อยกว่าที่ได้กระทำไปแล้ว. จึงจะถือเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ. หรือเกินกว่าที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 528/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวในภาวะฉุกเฉิน: การกระทำเกินสมควรแก่เหตุเมื่อเผชิญภัยคุกคามในเคหสถาน
การที่ผู้ตายขึ้นเรือนจำเลยในกลางคืนยามวิกาล ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่าเป็นการขึ้นมาในลักษณะอาการของคนร้าย จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการป้องกันภยันตรายได้ ตามพฤติการณ์ที่จำเลยต้องประสบภยันตรายขณะนั้น ฉะนั้นแม้จำเลยจะฟันผู้ตายหลายที จำเลยย่อมไม่มีโอกาสจะยับยั้งชั่งใจกระทำน้อยกว่าที่ได้กระทำไปแล้วจึงจะถือเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่าที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยสำคัญผิด: ภยันตรายใกล้ถึง, ป้องกันพอสมควรแก่เหตุ, อาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 แม้จำเลยจะรับสารภาพ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรค 1 ก็บัญญัติให้ศาลฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง จึงจะพิพากษาลงโทษได้
จำเลยมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ แล้วนำพยานมาสืบในภายหลัง แต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านให้ศาลปฏิเสธไม่รับฟังพยานนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรค 2 จึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ
เจ้าของบ้านทราบว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้าน จึงให้จำเลยและบุตรชายนอนเฝ้าบ้าน ผู้ตายได้ไปที่ประตูรั้วหลังบ้านในเวลาวิกาล ขณะที่ยังมือสนิท เสียงสุนัขเห่าดังลั่นไปหมด จำเลยได้ยินบุตรเจ้าของบ้านร้องว่าขโมย จึงให้ปืนยิงไปยังผู้ตาย โดยมีความรู้สึกขณะยิงปืนว่ามีคนร้ายมาที่ประตูรั้ว เข้ามาจะปล้นบ้าน พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ถ้าผู้ตายและพวกเป็นคนร้ายจริง ย่อมฟังได้ว่านึกภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงทรัพย์หรือใกล้จะถึงตัวจำเลยแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่ผู้ตายซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เช่นนี้ จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิป้องกันตัวจำเลยและเพื่อป้องกันทรัพย์ให้เจ้าของบ้าน เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
การที่จำเลยทำการป้องกันตัวโดยสำคัญผิด ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62
จำเลยมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ แล้วนำพยานมาสืบในภายหลัง แต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านให้ศาลปฏิเสธไม่รับฟังพยานนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรค 2 จึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ
เจ้าของบ้านทราบว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้าน จึงให้จำเลยและบุตรชายนอนเฝ้าบ้าน ผู้ตายได้ไปที่ประตูรั้วหลังบ้านในเวลาวิกาล ขณะที่ยังมือสนิท เสียงสุนัขเห่าดังลั่นไปหมด จำเลยได้ยินบุตรเจ้าของบ้านร้องว่าขโมย จึงให้ปืนยิงไปยังผู้ตาย โดยมีความรู้สึกขณะยิงปืนว่ามีคนร้ายมาที่ประตูรั้ว เข้ามาจะปล้นบ้าน พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ถ้าผู้ตายและพวกเป็นคนร้ายจริง ย่อมฟังได้ว่านึกภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงทรัพย์หรือใกล้จะถึงตัวจำเลยแล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่ผู้ตายซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เช่นนี้ จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิป้องกันตัวจำเลยและเพื่อป้องกันทรัพย์ให้เจ้าของบ้าน เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
การที่จำเลยทำการป้องกันตัวโดยสำคัญผิด ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สำคัญผิดในเหตุป้องกันตัว: ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตนเองและทรัพย์สินโดยสมควร แม้จะสำคัญผิดคิดว่ามีคนร้าย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 แม้จำเลยจะรับสารภาพประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติให้ศาลฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้องจึงจะพิพากษาลงโทษได้
จำเลยมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ แล้วนำพยานมาสืบในภายหลังแต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านให้ศาลปฏิเสธ ไม่รับฟังพยานนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรคสอง จึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ
เจ้าของบ้านทราบว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้าน จึงให้จำเลยและบุตรชายนอนเฝ้าบ้านผู้ตายได้ไปที่ประตูรั้วหลังบ้านในเวลาวิกาล ขณะที่ยังมืดสนิท เสียงสุนัขเห่าดังลั่นไปหมด จำเลยได้ยินบุตรเจ้าของบ้านร้องว่าขโมย จึงใช้ปืนยิงไปยังผู้ตาย โดยมีความรู้สึกขณะยิงปืนว่ามีคนร้ายมาที่ประตูรั้ว เข้ามาจะปล้นบ้านพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ถ้าผู้ตายและพวกเป็นคนร้ายจริงย่อมฟังได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงทรัพย์หรือใกล้จะถึงตัวจำเลยแล้วฉะนั้นการที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่ผู้ตายซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เช่นนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิป้องกันตัวจำเลยและเพื่อป้องกันทรัพย์ให้เจ้าของบ้านเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
การที่จำเลยทำการป้องกันตัวโดยสำคัญผิด ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62
จำเลยมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ แล้วนำพยานมาสืบในภายหลังแต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านให้ศาลปฏิเสธ ไม่รับฟังพยานนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 วรรคสอง จึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ
เจ้าของบ้านทราบว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้าน จึงให้จำเลยและบุตรชายนอนเฝ้าบ้านผู้ตายได้ไปที่ประตูรั้วหลังบ้านในเวลาวิกาล ขณะที่ยังมืดสนิท เสียงสุนัขเห่าดังลั่นไปหมด จำเลยได้ยินบุตรเจ้าของบ้านร้องว่าขโมย จึงใช้ปืนยิงไปยังผู้ตาย โดยมีความรู้สึกขณะยิงปืนว่ามีคนร้ายมาที่ประตูรั้ว เข้ามาจะปล้นบ้านพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ถ้าผู้ตายและพวกเป็นคนร้ายจริงย่อมฟังได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงทรัพย์หรือใกล้จะถึงตัวจำเลยแล้วฉะนั้นการที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่ผู้ตายซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เช่นนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิป้องกันตัวจำเลยและเพื่อป้องกันทรัพย์ให้เจ้าของบ้านเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
การที่จำเลยทำการป้องกันตัวโดยสำคัญผิด ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนโดยสำคัญผิด: ศาลพิจารณาภยันตรายที่ปรากฏต่อผู้กระทำผิด แม้ข้อเท็จจริงจริงจะต่าง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288.แม้จำเลยจะรับสารภาพ. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา176 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติให้ศาลฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง. จึงจะพิพากษาลงโทษได้.
จำเลยมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ แล้วนำพยานมาสืบในภายหลัง. แต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านให้ศาลปฏิเสธ ไม่รับฟังพยานนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89วรรคสอง จึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ.
เจ้าของบ้านทราบว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้าน. จึงให้จำเลยและบุตรชายนอนเฝ้าบ้าน. ผู้ตายได้ไปที่ประตูรั้วหลังบ้านในเวลาวิกาล ขณะที่ยังมืดสนิท. เสียงสุนัขเห่าดังลั่นไปหมด. จำเลยได้ยินบุตรเจ้าของบ้านร้องว่าขโมย. จึงใช้ปืนยิงไปยังผู้ตาย. โดยมีความรู้สึกขณะยิงปืนว่ามีคนร้ายมาที่ประตูรั้ว เข้ามาจะปล้นบ้าน. พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ถ้าผู้ตายและพวกเป็นคนร้ายจริง. ย่อมฟังได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว. และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงทรัพย์หรือใกล้จะถึงตัวจำเลยแล้ว. ฉะนั้นการที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่ผู้ตายซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เช่นนี้. จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิป้องกันตัวจำเลยและเพื่อป้องกันทรัพย์ให้เจ้าของบ้าน. เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.
การที่จำเลยทำการป้องกันตัวโดยสำคัญผิด. ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62.
จำเลยมิได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ แล้วนำพยานมาสืบในภายหลัง. แต่เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านให้ศาลปฏิเสธ ไม่รับฟังพยานนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89วรรคสอง จึงไม่ต้องห้ามที่จะให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบ.
เจ้าของบ้านทราบว่ามีคนร้ายจะมาปล้นบ้าน. จึงให้จำเลยและบุตรชายนอนเฝ้าบ้าน. ผู้ตายได้ไปที่ประตูรั้วหลังบ้านในเวลาวิกาล ขณะที่ยังมืดสนิท. เสียงสุนัขเห่าดังลั่นไปหมด. จำเลยได้ยินบุตรเจ้าของบ้านร้องว่าขโมย. จึงใช้ปืนยิงไปยังผู้ตาย. โดยมีความรู้สึกขณะยิงปืนว่ามีคนร้ายมาที่ประตูรั้ว เข้ามาจะปล้นบ้าน. พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ถ้าผู้ตายและพวกเป็นคนร้ายจริง. ย่อมฟังได้ว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้เกิดขึ้นแล้ว. และภยันตรายนั้นใกล้จะถึงทรัพย์หรือใกล้จะถึงตัวจำเลยแล้ว. ฉะนั้นการที่จำเลยใช้ปืนยิงไปที่ผู้ตายซึ่งจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย เช่นนี้. จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันสิทธิป้องกันตัวจำเลยและเพื่อป้องกันทรัพย์ให้เจ้าของบ้าน. เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.
การที่จำเลยทำการป้องกันตัวโดยสำคัญผิด. ต้องวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38-39/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ: จำเลยยิงสวนหลังได้ยินเสียงปืนของผู้ตายแล้ว
ผู้ตายเมาสุราส่งเสียงดัง จำเลยตั้งใจจะไปตามตำรวจมาจับ และไปเอาจักรยานยนต์ที่จอดไว้จะขี่ไป พอปลดเกียร์จะไสรถออก จำเลยได้ยินเสียงแกร๊กหันไปดูเห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย 4 วา ในมือผู้ตายถือปืนจ้องมาทางจำเลย ดังนี้ เรียกได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงจำต้องใช้ปืนยิงไปเพื่อป้องกันสิทธิแห่งชีวิตตน หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ยินเสียงดังเฉียะ จึงยิงสวนไปนัดหนึ่ง แล้วก็มิได้มีเสียงปืนของผู้ตายดังอีก แต่จำเลยยังยิงไปอีก 4 - 5 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกันตามนัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38-39/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกข่มขู่ด้วยอาวุธปืน ศาลลดโทษจากเจตนาฆ่าเป็นป้องกันตัวเกินเหตุ
ผู้ตายเมาสุราส่งเสียงดัง จำเลยตั้งใจจะไปตามตำรวจมาจับและไปเอาจักรยานยนต์ที่จอดไว้จะขี่ไปพอปลดเกียร์จะไสรถออกจำเลยได้ยินเสียงแกร๊กหันไปดูเห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย 4 วาในมือผู้ตายถือปืนจ้องมาทางจำเลย ดังนี้ เรียกได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจำเลยจึงจำต้องใช้ปืนยิงไปเพื่อป้องกันสิทธิแห่งชีวิตตนหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ยินเสียงดังเฉียะ จึงยิงสวนไปนัดหนึ่ง แล้วก็มิได้มีเสียงปืนของผู้ตายดังอีกแต่จำเลยยังยิงไปอีก 4-5 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกันตามนัยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38-39/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกประทุษร้าย ศาลลดโทษจากเจตนาฆ่าเหลือป้องกันตัว
ผู้ตายเมาสุราส่งเสียงดัง. จำเลยตั้งใจจะไปตามตำรวจมาจับ. และไปเอาจักรยานยนต์ที่จอดไว้จะขี่ไป. พอปลดเกียร์จะไสรถออก.จำเลยได้ยินเสียงแกร๊กหันไปดูเห็นผู้ตายยืนอยู่ห่างจำเลย 4 วา. ในมือผู้ตายถือปืนจ้องมาทางจำเลย. ดังนี้ เรียกได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง. จำเลยจึงจำต้องใช้ปืนยิงไปเพื่อป้องกันสิทธิแห่งชีวิตตน. หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ยินเสียงดังเฉียะ จึงยิงสวนไปนัดหนึ่ง. แล้วก็มิได้มีเสียงปืนของผู้ตายดังอีก. แต่จำเลยยังยิงไปอีก 4-5 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย. ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการเกินสมควรแก่เหตุที่จะป้องกันตามนัยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุหลังถูกยิงก่อน: การยิงซ้ำหลังล้มลง
ผู้ตายยิงจำเลยก่อนแต่ไม่ถูก ขณะที่ผู้ตายกำลังเอี้ยวตัวหักลำปืนจำเลยยิงผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลง จำเลยยิงซ้ำอีก 2 นัด เพราะกลัวผู้ตายจะไม่ตาย เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1408/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ถูกยิงก่อน แต่การยิงซ้ำหลังล้มแล้วถือเกินเหตุ
ผู้ตายยิงจำเลยก่อนแต่ไม่ถูก ขณะที่ผู้ตายกำลังเอี้ยวตัวหักลำปืน จำเลยยิงผู้ตาย 1 นัด ผู้ตายล้มลง จำเลยยิงซ้ำอีก 2 นัด เพราะกลัวผู้ตายจะไม่ตาย เป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ