พบผลลัพธ์ทั้งหมด 316 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3366/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยประเด็นที่มิได้ขึ้นสู่ศาลชั้นต้น หากเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ จำเลยอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายพอสมควรแก่เหตุ เช่นนี้ แม้ว่าโจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกัน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยและพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 69 นั้น เป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย และมีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ ทั้งศาลอุทธรณ์มิได้แก้โทษจำเลยโดยกำหนดโทษใหม่ตามความผิดที่ถูกต้องหรือลงโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3617/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาต่อเนื่องในการฆ่า, ความผิดสองกรรม, และการลดโทษจากสารภาพ
ถ้อยคำที่ผู้ตายที่ 1 ด่าจำเลยว่า "โคตรพ่อโคตรแม่" แม้จะเป็นถ้อยคำก้าวร้าวหยาบคายเป็นที่ระคายเคืองแก่จำเลยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตาม ป.อ. มาตรา 72
ในชั้นสอบคำให้การจำเลย จำเลยให้การต่อสู้โดยอ้างเหตุบันดาลโทสะสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 2 เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันโดยสำคัญผิด ส่วนในชั้นสืบพยาน จำเลยนำสืบต่อสู้ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยประสงค์จะต่อสู้ว่าจำเลยยิงผู้ตายที่ 2 เพื่อป้องกันตัวโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 จะเข้ามาทำรายจำเลย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้อ้างเหตุสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 เป็นการกระทำโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 ได้นำเครื่องมือทำงานที่เป็นเหล็กแหลมและค้อนติดตัวมาด้วย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดมิให้ผู้ตายกับพวกเข้ามาทำร้ายจำเลยซึ่งมีขาพิการนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง
หลังจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 แล้ว จำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 และหลานชายผู้ตายที่ 2 กรูเข้ามาหาจำเลยโดยวิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดขึ้นไป รวมทั้งใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 ด้วย แสดงว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้ตายที่ 1 ก่อน ต่อมาเมื่อจำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 วิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงเกิดมีเจตนายิงผู้ตายที่ 2 เสียด้วย ซึ่งเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลัง แม้จะเป็นการกระทำความผิดในเวลาต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการกระทำความผิดที่อาศัยเจตนาที่แยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิดสองกรรม
ในชั้นสอบคำให้การจำเลย จำเลยให้การต่อสู้โดยอ้างเหตุบันดาลโทสะสำหรับความผิดฐานฆ่าผู้ตายที่ 2 เท่านั้น มิได้ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำโดยป้องกันโดยสำคัญผิด ส่วนในชั้นสืบพยาน จำเลยนำสืบต่อสู้ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยประสงค์จะต่อสู้ว่าจำเลยยิงผู้ตายที่ 2 เพื่อป้องกันตัวโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 จะเข้ามาทำรายจำเลย และในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์โดยมิได้อ้างเหตุสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ดังนั้น ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 เป็นการกระทำโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายที่ 2 ได้นำเครื่องมือทำงานที่เป็นเหล็กแหลมและค้อนติดตัวมาด้วย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดมิให้ผู้ตายกับพวกเข้ามาทำร้ายจำเลยซึ่งมีขาพิการนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่าง
หลังจากจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 1 แล้ว จำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 และหลานชายผู้ตายที่ 2 กรูเข้ามาหาจำเลยโดยวิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงสกัดขึ้นไป รวมทั้งใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ 2 ด้วย แสดงว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้ตายที่ 1 ก่อน ต่อมาเมื่อจำเลยเห็นผู้ตายที่ 2 วิ่งลงบันไดมา จำเลยจึงเกิดมีเจตนายิงผู้ตายที่ 2 เสียด้วย ซึ่งเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลัง แม้จะเป็นการกระทำความผิดในเวลาต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการกระทำความผิดที่อาศัยเจตนาที่แยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1911/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้อาวุธปืนยิงที่ใบหน้า แม้ถูกทำร้ายด้วยมีด
จำเลยยิงผู้ตายเพราะผู้ตายจะใช้มีดแทง จำเลยย่อมมีสิทธิป้องกันตัว แต่แม้จำเลยจะไม่มีหน้าที่ต้องหนีการที่จำเลยมีอาวุธปืนที่ร้ายแรงกว่า จำเลยอาจเลือกยิงร่างกายส่วนที่สำคัญน้อยหรือเป็นอันตรายน้อยเพียงเพื่อยับยั้งผู้ตาย แต่จำเลยกลับใช้อาวุธปืนเล็งยิงไปที่ใบหน้า จึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 318/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ จำเลยใช้อาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหาย ศาลยืนโทษจำคุก
ผู้เสียหายตั้งใจจะหาเรื่องจำเลย เนื่องจากมีสาเหตุทะเลาะวิวาทกันมาก่อน ถือได้ว่าการกระทำของผู้เสียหายเป็นอันตรายต่อจำเลย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดพอสมควรแก่เหตุเพื่อป้องกันตนเองได้ แต่การที่ผู้เสียหายเพียงแค่ใช้อาวุธมีดดาบปัดอาวุธปืนของจำเลยไปมาและท้าให้จำเลยยิงโดยมิได้เงื้ออาวุธมีดดาบขึ้นในลักษณะจะฟันทำร้ายจำเลย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายถูกบริเวณไหปลาร้าขวาซึ่งเป็นส่วนสำคัญของร่างกายจึงไม่เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แต่เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5817/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันทรัพย์สินเกินสมควร การยิงผู้ขว้างปาบ้าน ศาลวินิจฉัยเป็นเหตุทำร้ายร่างกายโดยเจตนา
การที่ชาวบ้านไปขว้างปาบ้านบิดาจำเลย เป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการเพื่อป้องกันทรัพย์สินของบิดาจำเลยได้ แต่ภยันตรายที่เกิดจากการขว้างปาบ้านยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดที่ต้องใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายร่างกายผู้ที่ขว้างปา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาป้องกันทรัพย์สินที่เกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ มิใช่เป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
บิดาจำเลยถูกชาวบ้านใช้ก้อนอิฐและท่อนไม้ขว้างปาบ้านเพื่อขับไล่โดยหลงเชื่อว่าบิดาจำเลยเป็นผีปอบมาเป็นเวลา 2 คืนแล้ว คืนเกิดเหตุเป็นคืนที่สามก็ถูกขว้างปาอีกตั้งแต่เวลา 23 นาฬิกา จนถึง 1 นาฬิกา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขัดขวางห้ามปรามนับว่าจำเลยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุดแล้ว สมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
บิดาจำเลยถูกชาวบ้านใช้ก้อนอิฐและท่อนไม้ขว้างปาบ้านเพื่อขับไล่โดยหลงเชื่อว่าบิดาจำเลยเป็นผีปอบมาเป็นเวลา 2 คืนแล้ว คืนเกิดเหตุเป็นคืนที่สามก็ถูกขว้างปาอีกตั้งแต่เวลา 23 นาฬิกา จนถึง 1 นาฬิกา จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อขัดขวางห้ามปรามนับว่าจำเลยได้ใช้ความอดทนอดกลั้นจนถึงที่สุดแล้ว สมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2925/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันทรัพย์สินเกินกว่าเหตุ การใช้กำลังทำร้ายผู้ลักทรัพย์ ศาลพิจารณาความเกินกว่าเหตุและลดโทษ
ผู้ตายคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนได้เข้าไปเพื่อจะลักเอาไก่ที่จำเลยเลี้ยงไว้ แต่ได้ไปสะดุดสายไฟฟ้าที่ จำเลยผูกกับกระป๋องน้ำอัดลมทำให้เกิดเสียงดังขึ้น ผู้ตายทั้งสองจึงออกมายืนซุ่ม เพื่อรอดูเหตุการณ์และก็ยังประสงค์ที่จะเข้าไปลักเอาไก่ของจำเลยอยู่อีก เพราะมิฉะนั้น ผู้ตายทั้งสองคงจะหลบหนีไปได้เนื่องจากมีเวลาเพียงพอกว่าที่ จำเลยจะตื่นขึ้นและตามหาได้ ดังนั้น พฤติการณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์ของจำเลยยังมีอยู่และใกล้จะถึงแล้ว การที่จำเลยใช้จอบตีผู้ตายทั้งสองจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันทรัพย์ของตน อย่างไรก็ตามเนื่องจากขณะที่จำเลยใช้จอบตีผู้ตายทั้งสองนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้ตายทั้งสองจะทำร้ายหรือต่อสู้จำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบ มาตรา 69
ปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
ปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน เป็นปัญหา ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8534/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: การยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อระงับเหตุ และการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
พฤติการณ์ของจำเลยที่พยายามช่วยเหลือ ถ. ซึ่งถูกกลุ่มวัยรุ่นตีศีรษะด้วยขวดสุราและรุมทำร้ายในบ้านของจำเลยโดยจำเลยใช้อาวุธปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า 3 นัด และขณะนั้นจำเลยถืออาวุธปืนขู่พร้อมที่จะยิงขึ้นฟ้าอีกเพื่อระงับเหตุมิให้กลุ่มวัยรุ่นรุมทำร้าย ถ. แต่จำเลยถูกกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาทุบที่ด้านหลังจนเป็นเหตุให้ล้มลง และกระสุนจากอาวุธปืนที่จำเลยถืออยู่ได้ลั่นขึ้น 1 นัด ถูกผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนและของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ทั้งเป็นกรณีที่จำเลยกระทำพอสมควรแก่เหตุ แม้ การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้เสียหายและผู้ตายโดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา 60 จำเลยก็ไม่มีความผิดเพราะ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68 มิใช่จำเลยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ศาลจึงไม่อาจริบได้
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อาวุธปืนของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้ในการกระทำผิดตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ศาลจึงไม่อาจริบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8173/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายสิ้นสุดลงเมื่อเข้าใจผิดว่าผู้เสียหายเป็นขโมย
เหตุที่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์หมดไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันอีก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันเนื่องจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัวอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุหรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันเนื่องจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัวอีกเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุในคดีฆ่า: การพิจารณาพฤติการณ์ก่อน, ระหว่าง และหลังการกระทำ
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขับรถยนต์ปิกอัพแซงปาดหน้าจะให้รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ 2 ขับมีจำเลยที่ 1 นั่งมาชนกำแพงคอนกรีตกลางถนนหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ใช้อาวุธใดทำร้ายจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีอื่นอีก แม้ผู้ตายยังขับรถตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งในซอยซึ่งเป็นซอยตัน แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูรถยนต์เก๋งลงไปยิงผู้ตายนั้น ผู้ตายยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายช่วงแรก 2 นัดจนกระสุนปืนหมดแล้วกลับไปเอาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2ซึ่งเก็บไว้ในรถยนต์เก๋งวิ่งอ้อมท้ายรถยนต์ปิกอัพไปยิงผู้ตายถูกที่ด้านขวาของลำตัวถึง 5 นัด การยิงในช่วงหลัง จำเลยที่ 1ย่อมมีเวลาใคร่ครวญตั้งสติได้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2165/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายเกินสมควรแก่เหตุ กรณีถูกคุกคามด้วยรถยนต์
คดีฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกัน แม้ในวันเกิดเหตุผู้ตายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุขับรถยนต์ปิกอัพแซงปาดหน้าจะให้รถยนต์เก๋งที่จำเลยที่ 1 นั่งมาชนกำแพงคอนกรีตกลางถนนหลายครั้ง ก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธใดทำร้ายจำเลยที่ 1 หรือจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ด้วยวิธีอื่นอีก การที่ผู้ตายยังขับรถยนต์ปิกอัพตามมาชนท้ายรถยนต์เก๋งในซอยทั้งที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ปิกอัพแล้ว แม้จะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 เชื่อว่าผู้ตายจะตามมาทำร้าย แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 เปิดประตูรถยนต์เก๋งลงไปยืนที่พื้นข้างประตูรถด้านที่จำเลยที่ 1 นั่งและใช้อาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 พาติดตัวมายิงผู้ตายนั้น ผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ จำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายช่วงแรก 2 นัด จนกระสุนปืนหมดแล้วกลับเข้าไปในรถยนต์เก๋งเอาอาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเก็บไว้ในรถวิ่งอ้อมท้ายรถยนต์ปิกอัพไปยืนที่ข้างประตูรถด้านที่ผู้ตายนั่งแล้วใช้อาวุธปืนของจำเลยที่ 2 ยิงผู้ตายอีกหลายนัด จนผู้ตายถูกกระสุนปืนที่ด้านขวาของลำตัวถึง 5 นัด การยิงผู้ตายในช่วงหลัง จำเลยที่ 1 ย่อมมีเวลาใคร่ครวญตั้งสติได้แล้ว ทั้งขณะนั้นผู้ตายก็ยังนั่งอยู่ในรถยนต์ปิกอัพ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะทำอันตรายใดแก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุ