พบผลลัพธ์ทั้งหมด 273 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3332/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากสัญญาและการพิสูจน์ความรับผิดตามสัญญา/ละเมิด
แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานไว้เพียงว่าจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่ผู้นำรถยนต์มาประกันภัยไว้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด แต่ปัญหาที่ว่าโจทก์จะรับช่วงสิทธิจากผู้เอา-ประกันภัยมาฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้หรือไม่ก็เป็นประเด็นย่อยที่รวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัย และรับฝากทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้อยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. กับเจ้าของและผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว รวมทั้งรับฝากรถยนต์โดยมีบำเหน็จ โดยโจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องเลยว่าจำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัยและรับฝากทรัพย์สินของ ป. กับ ป. เป็นผู้อาศัยอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. และรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์เป็นของ ป. อันจะได้นำมาพิจารณาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อ ป. ตามสัญญาหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องดูแลรักษารถยนต์ตามฟ้อง การที่ลูกจ้างจำเลยไม่ได้ตรวจตราและมีคนนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจากบริเวณหมู่บ้าน พ. ได้ จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อ ป. จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อ ป. ทั้งในเรื่องสัญญาและละเมิด จึงไม่มีสิทธิที่โจทก์จะรับช่วงจาก ป. มาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
เมื่อข้อกล่าวอ้างตามฟ้องเห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัย และรับฝากทรัพย์สินของเจ้าของหรือผู้อยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. กับเจ้าของและผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านดังกล่าว รวมทั้งรับฝากรถยนต์โดยมีบำเหน็จ โดยโจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้องเลยว่าจำเลยทำสัญญารักษาความปลอดภัยและรับฝากทรัพย์สินของ ป. กับ ป. เป็นผู้อาศัยอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน พ. และรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้แก่โจทก์เป็นของ ป. อันจะได้นำมาพิจารณาว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อ ป. ตามสัญญาหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องดูแลรักษารถยนต์ตามฟ้อง การที่ลูกจ้างจำเลยไม่ได้ตรวจตราและมีคนนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจากบริเวณหมู่บ้าน พ. ได้ จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดสัญญาหรือละเมิดต่อ ป. จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อ ป. ทั้งในเรื่องสัญญาและละเมิด จึงไม่มีสิทธิที่โจทก์จะรับช่วงจาก ป. มาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดได้
เมื่อข้อกล่าวอ้างตามฟ้องเห็นได้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย: พยานหลักฐานและข้อยกเว้นตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา880มิใช่เป็นการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา867วรรคหนึ่งและไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94เพราะมิใช่กรณีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธินำสืบพยานเอกสารคู่ฉบับหนึ่งหนังสือกรมธรรม์ประกอบพยานอื่นๆในข้อรับช่วงสิทธิเพื่อแสดงว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุได้แม้ว่าคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกันภัยจะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา118ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย: ศาลอนุญาตให้ใช้พยานเอกสารแม้กรมธรรม์ขาดอากรแสตมป์
โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟัองจำเลยโดยอาศัยอำนายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880มิใช่เป็นการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 867 วรรคหนึ่งและไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เพราะมิใช่กรณีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธินำสืบพยานเอกสารคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกอบพยานอื่น ๆ ในข้อรับช่วงสิทธิเพื่อแสดงว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุได้แม้ว่าคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกันภัยจะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย: การนำสืบพยานหลักฐานและข้อยกเว้นตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟัองจำเลยโดยอาศัยอำนายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา880มิใช่เป็นการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา867วรรคหนึ่งและไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94เพราะมิใช่กรณีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธินำสืบพยานเอกสารคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกอบพยานอื่นๆในข้อรับช่วงสิทธิเพื่อแสดงว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุได้แม้ว่าคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกันภัยจะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา118ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิในสัญญาประกันภัย: สิทธิในการนำสืบพยานเอกสารแม้กรมธรรม์ไม่สมบูรณ์
โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.พ.พ.มาตรา 880 มิใช่เป็นการฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาประกันภัยจึงไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 867 วรรคหนึ่ง และไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 เพราะมิใช่กรณีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธินำสืบพยานเอกสารคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกอบพยานอื่น ๆ ในข้อรับช่วงสิทธิเพื่อแสดงว่าโจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุได้ แม้ว่าคู่ฉบับหนังสือกรมธรรม์ประกันภัยจะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบบริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2532/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลไม่ต้องผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญา และมีอำนาจแก้ไขค่าทนายความ
ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ปัญหาว่าคดีแพ่งต้องถือตามข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
การที่โจทก์ที่ 3 ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถยนต์ด้วยความประมาททำให้คดีอาญาระงับ แต่ผลของการเปรียบเทียบปรับดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาในคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตาม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งหกใช้แทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. แม้จำเลยทั้งหกจะไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
การที่โจทก์ที่ 3 ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถยนต์ด้วยความประมาททำให้คดีอาญาระงับ แต่ผลของการเปรียบเทียบปรับดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาในคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตาม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งหกใช้แทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. แม้จำเลยทั้งหกจะไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิดและการรับประกันภัย: การรับช่วงสิทธิและข้อยกเว้นอายุความ
จำเลยทั้งสามขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาของจำเลยทั้งสามว่าสำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์และสั่งในอุทธรณ์ว่าจำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามโดยมิได้สั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาก็พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาโดยตรงต่อศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา223ทวิวรรคแรกแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่2และจำเลยที่3ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่2จึงต้องฟ้องจำเลยที่1และที่2ภายใน1ปีนับแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา448วรรคแรกมิฉะนั้นคดีขาดอายุความส่วนความรับผิดของจำเลยที่3นั้นเกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความ2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคหนึ่งมาปรับแก่คดีเมื่อโจทก์ฟ้องยังไม่พ้นกำหนด2ปีนับแต่วันเกิดวินาศภัยคดีเกี่ยวกับจำเลยที่3จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดและการรับประกันภัย: การกำหนดระยะเวลาฟ้องร้องและการรับผิดของจำเลยแต่ละราย
จำเลยขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาศาลชั้นต้นจะต้องพิจารณาว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายและสั่งอนุญาตได้หรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ การที่ศาลชั้นต้นสั่งในคำร้องของจำเลยแต่เพียงว่า สำเนาให้โจทก์รวมสั่งในอุทธรณ์ และสั่งในอุทธรณ์ว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดรับเป็นอุทธรณ์ของจำเลยแม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้แล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของบริษัทอ. ซึ่งโจทก์เป็นผู้รับประกันภัยโจทก์เสียค่าซ่อมและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แทนผู้เอาประกันภัยไปแล้ว จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัย เป็นการฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดในมูลละเมิด เมื่อโจทก์ฟ้องโดยเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 จึงมีสิทธิเท่ากับสิทธิของผู้เอาประกันภัยมีอยู่โดยมูลหนี้ตามมาตรา 226 วรรคแรก ฉะนั้น เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 448 วรรคแรกโจทก์ก็ต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวด้วย โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ได้ฟ้องให้รับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 3 จะยกอายุความเรื่องละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448มาปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ 3เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัยจึงต้องนำอายุความตามมาตรา 882 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีกำหนด 2 ปี นับแต่วันเกิดวินาศภัยมาปรับแก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2095/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าเสียหายจากการชนรถยนต์ที่เสียหายทั้งคัน ประกันภัยมีสิทธิเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิด
รถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ถูกชนได้รับความเสียหายทั้งคันไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ โจทก์ย่อมสามารถพิจารณาจ่าย ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยเต็มวงเงินที่ ประกันภัยไว้ได้หาจำต้องโต้แย้งค่าเสียหายไม่และเมื่อจ่ายแล้วโจทก์ย่อม รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องจากผู้กระทำละเมิดและผู้ที่จะต้องร่วมรับผิดด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดวงเงินฎีกาในคดีแพ่ง, การรับช่วงสิทธิค่าเสียหาย, และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงกับคดีอาญา
ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยที่1ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คำนวณเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมีเพียง194,114.18บาทจึงไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งจำเลยที่1ฎีกาว่าเหตุพิพาทคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่2แม้ศาลจะฟังว่ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋งก็เป็นเหตุสุดวิสัยฎีกาของจำเลยที่1ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1ขับรถโดยประมาทมิได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทมาตราดังกล่าวข้างต้น ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43,46,157รัฐเป็นผู้เสียหายจำเลยที่1ไม่ใช่คู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา880เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลจึงกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438การที่โจทก์ไปตกลงค่าเสียหายกับผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าเสียหายไปโดยไม่ปรากฏว่าค่าเสียหายมีเพียงใดโจทก์จะเรียกร้องเอาเงินที่โจทก์จ่ายไปดังกล่าวเต็มจำนวนหาได้ไม่