พบผลลัพธ์ทั้งหมด 130 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7986/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดชอบครู/อาจารย์ต่อศิษย์ตาม ป.อ.มาตรา 285: การกระทำนอกเหนือหน้าที่ดูแล
ความหมายของข้อความที่ว่า ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ตามป.อ.มาตรา 285 นั้น มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูหรืออาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สอนหรือเคยสอนศิษย์เท่านั้น แต่ครูหรืออาจารย์นั้นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์และกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติต่อศิษย์ในระหว่างมีหน้าที่ดังกล่าวด้วย เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ เพราะเหตุเกิดที่บ้าน พ. และอยู่นอกเวลาควบคุมดูแลของจำเลย การกระทำของจำเลยก็มิใช่กระทำต่อศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล
ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ผู้เสียหายเป็นผู้อยู่ในความควบคุมของจำเลยตามหน้าที่ราชการ เมื่อเป็นข้อที่มิได้กล่าวในฟ้อง จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ผู้เสียหายเป็นผู้อยู่ในความควบคุมของจำเลยตามหน้าที่ราชการ เมื่อเป็นข้อที่มิได้กล่าวในฟ้อง จึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7986/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อเด็กในความดูแล: หน้าที่ควบคุมดูแลนอกเวลาราชการมีผลต่อการรับโทษ
ความหมายของข้อความที่ว่า ศิษย์ ซึ่งอยู่ในความดูแลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 นั้น มิได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่มีความสัมพันธ์ในฐานะครูหรืออาจารย์ซึ่งมีหน้าที่สอนหรือเคยสอนศิษย์ เท่านั้น แต่ครูหรืออาจารย์นั้นต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลปกป้องรักษาตัวศิษย์ และกระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติต่อศิษย์ ในระหว่างมีหน้าที่ดังกล่าวด้วย เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีหน้าที่ดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ เพราะเหตุเกิดที่บ้านพ.และอยู่นอกเวลาควบคุมดูแลของจำเลย การกระทำของจำเลยก็มิใช่กระทำต่อศิษย์ ซึ่งอยู่ในความดูแล ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า ผู้เสียหายเป็นผู้อยู่ในความควบคุมของจำเลยตามหน้าที่ราชการ เมื่อเป็นข้อที่มิได้กล่าวในฟ้องจึงเป็นเรื่องนอกฟ้อง ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นมาว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4460/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำอนาจารโดยข่มขู่ด้วยอาวุธและการบุกรุกเคหสถาน
จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายโดยใช้มีดขู่เข็ญว่าจะแทงประทุษร้าย อันเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย และการที่ผู้เสียหายต้องยอมให้จำเลยถอดกระดุมเสื้อออก แสดงว่าผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 278
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 278, 322,365 โดยบรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้บังอาจบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนางสาว ส.ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วบังอาจกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยใช้อาวุธมีดขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย และโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งโจทก์ก็ได้ขอให้ลงโทษจำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 365 ด้วย การที่โจทก์อ้างมาตรา 322 แทนที่จะเป็นมาตรา 362 จึงเป็นกรณีโจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192วรรคห้า
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 278, 322,365 โดยบรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้บังอาจบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนางสาว ส.ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วบังอาจกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยใช้อาวุธมีดขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย และโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งโจทก์ก็ได้ขอให้ลงโทษจำเลย ตาม ป.อ.มาตรา 365 ด้วย การที่โจทก์อ้างมาตรา 322 แทนที่จะเป็นมาตรา 362 จึงเป็นกรณีโจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 192วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4460/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลังขู่เข็ญ และการลงโทษตามบทกฎหมายที่ถูกต้อง
จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายโดยใช้มีดขู่เข็ญว่าจะแทงประทุษร้าย อันเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย และการที่ผู้เสียหายต้องยอมให้จำเลย ถอดกระดุมเสื้อออก แสดงว่าผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278,322,365 โดยบรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุเวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้บังอาจบุกรุกเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของนางสาว ส.ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วบังอาจกระทำอนาจารผู้เสียหาย โดยใช้อาวุธมีดขู่เข็ญว่าทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย และโจทก์นำสืบข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งโจทก์ก็ได้ขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ด้วย การที่โจทก์อ้างมาตรา 322 แทนที่จะเป็นมาตรา 362 จึงเป็นกรณีโจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3953/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระทำอนาจารและหน่วงเหนี่ยวกักขัง: การกระทำที่ไม่สมควรทางเพศและการลิดรอนเสรีภาพ
จำเลยกอดคอผู้เสียหายและจับแขนผู้เสียหายลากเพื่อจะพาเข้าห้องพักในโรงแรม เป็นการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศ มีความผิดฐานกระทำอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้ายต่อผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ผู้เสียหายนั่งรถยนต์ไปกับจำเลย ผู้เสียหายขอลงจากรถตั้งแต่ตอนถึงตลาดแล้ว แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงเป็นว่าจะไปธุระกับเพื่อนก่อน เมื่อถึงหน้าโรงแรม ผู้เสียหายรู้ตัวว่า จำเลยคิดมิดีมิร้ายจึงพูดขอลงและจะเปิดประตูรถ แต่จำเลย ไม่ยอมให้ลงโดยล็อกประตูรถไว้ ดังนี้จำเลยมีเจตนาหน่วงเหนี่ยวผู้เสียหายไม่ให้ลงจากรถจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำอนาจารโดยไม่ได้รับความยินยอม แม้ผู้เสียหายจะไปด้วยความสมัครใจแต่ถูกพาไปเพื่อประสงค์ต่อการกระทำผิด อายุผู้กระทำผิดขณะกระทำความผิดเป็นสำคัญ
วันเกิดเหตุมีงานศพที่วัดวังมะปราง บิดามารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายไปช่วยงานศพที่วัดดังนี้การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุ17ปีออกจากวัดวังมะปราง แม้ในตอนแรกผู้เสียหายจะสมัครใจไปด้วยแต่การพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและปลุกปล้ำกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยนั้นถือว่าผู้เสียหายมิได้เต็มใจไปด้วยจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา278,318วรรคสาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีอายุ19ปีลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา76ไม่ถูกต้องเพราะอายุที่ถือเป็นเกณฑ์ตามบทกฎหมายดังกล่าวคืออายุขณะที่กระทำความผิดซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยอายุ17ปีเศษยังอ่อนเยาว์ต่อความรู้สึกผิดชอบสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาผู้อื่นไปกระทำอนาจารโดยไม่ยินยอม แม้เริ่มด้วยความสมัครใจก็ถือเป็นความผิด
วันเกิดเหตุมีงานศพที่วัดวังมะปราง บิดามารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายไปช่วยงานศพที่วัด ดังนี้ การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุ 17 ปี ออกจากวัดวังมะปราง แม้ในตอนแรกผู้เสียหายจะสมัครใจไปด้วย แต่การพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและปลุกปล้ำกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายโดยผู้เสียหายมิได้ยินยอมด้วยนั้น ถือว่าผู้เสียหายมิได้เต็มใจไปด้วย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา278, 318 วรรคสาม
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ไม่ถูกต้อง เพราะอายุที่ถือเป็นเกณฑ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว คือ อายุขณะที่กระทำความผิด ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ยังอ่อนเยาว์ต่อความรู้สึกผิดชอบสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีอายุ 19 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ไม่ถูกต้อง เพราะอายุที่ถือเป็นเกณฑ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว คือ อายุขณะที่กระทำความผิด ซึ่งขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ยังอ่อนเยาว์ต่อความรู้สึกผิดชอบสมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5521/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความของผู้เสียหายในคดีอาญา ทำให้สิทธิการฟ้องคดีอาญาเป็นอันระงับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 กระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันกระทำผิดต่อเสรีภาพและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง,310 วรรคแรก,83เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานกระทำผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง จำเลยฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความว่าผู้เสียหายไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทุกข้อหา ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามมาตรา 278 และ 310 วรรคแรก ออกจากสารบบความคงมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง หรือไม่ เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 309 วรรคแรก เท่านั้นซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้ และคดียังไม่ถึงที่สุดการที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นการยอมความกันในความผิดที่ศาลฎีกาวินิจฉัยนี้ด้วย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5521/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความในคดีอาญาและการระงับการฟ้องร้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารตามมาตรา 278 กระทงหนึ่ง ฐานร่วมกันกระทำผิดต่อเสรีภาพและฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพตาม ป.อ. มาตรา 309วรรคสอง, 310 วรรคแรก, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานกระทำผิดต่อเสรีภาพ ตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด อีกกระทงหนึ่ง จำเลยฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความว่าผู้เสียหายไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยทุกข้อหาศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะความผิดตามมาตรา 278 และ 310 วรรคแรกออกจากสารบบความ คงมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยเพียงว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง หรือไม่ เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 309 วรรคแรก เท่านั้น ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นความผิดอันยอมความได้ และคดียังไม่ถึงที่สุด การที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องมีข้อความดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นการยอมความกันในความผิดที่ศาลฎีกาวินิจฉัยนี้ด้วย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมเป็นอันระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ศาลฎีกาต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำทางเพศที่ไม่ถึงขั้นข่มขืน ถือเป็นกระทำอนาจาร
จำเลยเข้ากอดผู้เสียหายจากทางด้านหลังแล้วเหนี่ยวรั้งตัวผู้เสียหายจนผู้เสียหายล้มนอนหงายกับพื้น จากนั้นจำเลยก็ทุบบริเวณหน้าท้องของผู้เสียหายและใช้มือปิดปากไม่ให้ผู้เสียหายร้องกับขึ้นนั่งคร่อมบนหน้าขาทั้งสองข้างของผู้เสียหาย แล้วโน้มตัวเอาใบหน้ามาคลอเคลียบริเวณใบหน้าของผู้เสียหายและจับอวัยวะเพศของผู้เสียหายจากด้านนอกกางเกง โดยจำเลยมิได้ถอดกางเกงของผู้เสียหายและของจำเลยที่ผู้เสียหายและจำเลยสวมใส่ออก ดังนี้ ลักษณะการกระทำของจำเลยยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย คงเป็นความผิดเพียงฐานกระทำอนาจาร