พบผลลัพธ์ทั้งหมด 855 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8340/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ฟ้องจากพยายามฆ่าเป็นฆ่าผู้อื่น: ศาลอนุญาตได้หากไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
ตามคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ได้บรรยายการกระทำของจำเลยกับพวกว่าได้ใช้ไม้เป็นอาวุธทุบตีและใช้กำลังชกต่อยผู้เสียหายที่อวัยวะสำคัญขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะฟ้องจำเลยว่ากระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น ต่อมาเมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากบาดแผลที่ถูกทำร้าย ซึ่งเป็นการกระทำเดียวกันกับคำฟ้อง เพียงแต่แก้ไขผลของการกระทำที่ต่อเนื่องกันมาเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจขอแก้ฟ้องจากการกระทำผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นฆ่าผู้เสียหาย และขอแก้บทลงโทษจาก ป.อ.มาตรา 80,83, 288 เป็นมาตรา 83, 288, 297 ได้ เพราะการแก้หรือเพิ่มเติมฐานความผิดไม่ว่าจะทำในระยะใดระหว่างพิจารณาในศาลชั้นต้น มิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบทั้งพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยให้การปฏิเสธ คำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้ในข้อหาที่มิได้กล่าวไว้นั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7903/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีและการงดสืบพยานจำเลย: ความรับผิดชอบของจำเลยต่อความบกพร่องในการรับทราบวันนัด
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันนั้น โจทก์ไม่ค้านการขอเลื่อนและแถลงว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานโจทก์อีกต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนคดีไปโดยนัดสืบพยานจำเลยและเสมียนทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบวันนัดสืบพยานจำเลยไว้แล้ว ดังนั้นหากเสมียนทนายจำเลยจดเวลานัดผิดพลาดหรือแจ้งเวลานัดสืบพยานจำเลยแก่ทนายจำเลยผิดพลาด ก็เป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณา ในวันนัดสืบพยานจำเลยที่เลื่อนมา ซึ่งจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลจึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานที่จะสืบ ให้งดสืบพยานจำเลยและให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้นจึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งโดยชอบ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ผิดระเบียบอันจำเลยจะขอให้ยกเลิกเพิกถอนเสียได้ ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะขอเช่นนั้นก่อนหรือหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7903/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความบกพร่องของจำเลยในการรับทราบวันนัดพิจารณาคดี และผลกระทบต่อการสืบพยาน
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีในวันนั้น โจทก์ไม่ค้านการขอเลื่อนและแถลงว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานโจทก์อีกต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เลื่อนคดีไปโดยนัดสืบพยานจำเลยและเสมียนทนายจำเลยได้ลงชื่อรับทราบวันนัดสืบพยานจำเลยไว้แล้วดังนั้นหากเสมียนทนายจำเลยจดเวลานัดผิดพลาดหรือแจ้งเวลานัดสืบพยานจำเลยแก่ทนายจำเลยผิดพลาดก็เป็นความบกพร่องของจำเลยเอง ที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาในวันนัดสืบพยานจำเลยที่เลื่อนมาซึ่งจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลจึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานที่จะสืบ ให้งดสืบพยานจำเลยและให้รอฟังคำพิพากษาในวันนั้นจึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งโดยชอบ มิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใดที่ผิดระเบียบอันจำเลยจะขอให้ยกเลิกเพิกถอนเสียได้ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะขอเช่นนั้นก่อนหรือหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7563/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดสัญญาชุบทองคำขาว: ความรับผิดชอบค่าเสียหายจากการชำรุดบกพร่องและราคาทรัพย์สิน
ก่อนที่โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยชุบทองคำขาวเครื่องประดับได้มีการตกลงกันถึงกรรมวิธีในการชุบทองคำขาวด้วย การที่จำเลยทำผิดขั้นตอนที่ตกลงกันหรือผิดปกติประเพณีการชุบทองคำขาว จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยให้ชุบทองคำขาวเครื่องประดับจำนวน13,285 ชิ้น แล้วโจทก์ได้ส่งสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาปรากฏว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ไม่ได้ชุบทองคำขาวให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน บริษัทที่จำหน่ายสินค้าในประเทศฝรั่งเศสได้ส่งสินค้าคืนมาให้โจทก์จำนวน 9,844 ชิ้นโจทก์จึงได้ส่งสินค้าตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยจัดการแก้ไขให้ถูกต้องและบรรเทาความเสียหาย แต่จำเลยก็มิได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับสินค้าที่ส่งกลับคืนมาทั้งหมด จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำผิดสัญญาจ้าง จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยเพื่อให้ช่วยคิดหาวิธีแก้ไขนั้น มีสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นทำปะปนมาด้วยจำนวนหลายพันชิ้น โดยจำเลยไม่ได้ให้การว่าสินค้าเครื่องประดับดังกล่าวจำเลยรับจ้างชุบทองคำขาวกี่ชิ้นบุคคลอื่นรับจ้างชุบทองคำขาวให้แก่โจทก์กี่ชิ้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศและโจทก์ส่งให้แก่จำเลยทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยรับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้แล้ว ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นดังกล่าวนี้เสียจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นเครื่องประดับจำนวน 640,568.73 บาท และค่าเสียหายที่เป็นกำไรจำนวน288,255.93 บาท ที่ฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินนั้น เนื่องจากจำเลยรับเอาสินค้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วไม่ส่งกลับคืน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่เคยตกลงยินยอมจะซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ที่โจทก์ส่งสินค้ามาให้ซ่อมแซม จำเลยไม่เคยปฏิเสธที่จะคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่ด้วย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นและวินิจฉัยให้เสร็จไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 แต่เมื่อไม่ปรากฏว่า ทรัพย์สินที่จำเลยรับไปซ่อมแซมนั้น จำเลยไม่ยอมคืนหรือได้สูญหายหรือบุบสลายไปทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาราคาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งได้
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยไม่ยอมคืนเครื่องประดับให้แก่โจทก์ แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า จำเลยจะต้องซ่อมแซมเครื่องประดับให้เสร็จและส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนด ต่อจากนั้นโจทก์ก็จะนำเครื่องประดับทั้งหมดส่งมอบแก่ลูกค้าของโจทก์ได้ จำเลยซ่อมแซมเครื่องประดับไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้และส่งคืนมาในภายหลัง โจทก์จึงไม่อาจส่งคืนให้แก่ลูกค้าได้ เพราะเครื่องประดับล้าสมัย ไม่มีประโยชน์แก่โจทก์ เครื่องประดับไม่มีราคาและขายไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยรับผิดชอบราคาเครื่องประดับทั้งหมดนั้น กรณีเช่นว่านี้ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่คืนเครื่องประดับดังที่โจทก์ฟ้องไม่ โจทก์จึงไม่อาจเอาราคาเครื่องประดับแทนตัวทรัพย์สินได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยให้ชุบทองคำขาวเครื่องประดับจำนวน13,285 ชิ้น แล้วโจทก์ได้ส่งสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาปรากฏว่าจำเลยปฏิบัติผิดสัญญา ไม่ได้ชุบทองคำขาวให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน บริษัทที่จำหน่ายสินค้าในประเทศฝรั่งเศสได้ส่งสินค้าคืนมาให้โจทก์จำนวน 9,844 ชิ้นโจทก์จึงได้ส่งสินค้าตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยจัดการแก้ไขให้ถูกต้องและบรรเทาความเสียหาย แต่จำเลยก็มิได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับสินค้าที่ส่งกลับคืนมาทั้งหมด จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำผิดสัญญาจ้าง จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยเพื่อให้ช่วยคิดหาวิธีแก้ไขนั้น มีสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นทำปะปนมาด้วยจำนวนหลายพันชิ้น โดยจำเลยไม่ได้ให้การว่าสินค้าเครื่องประดับดังกล่าวจำเลยรับจ้างชุบทองคำขาวกี่ชิ้นบุคคลอื่นรับจ้างชุบทองคำขาวให้แก่โจทก์กี่ชิ้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศและโจทก์ส่งให้แก่จำเลยทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยรับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้แล้ว ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นดังกล่าวนี้เสียจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นเครื่องประดับจำนวน 640,568.73 บาท และค่าเสียหายที่เป็นกำไรจำนวน288,255.93 บาท ที่ฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินนั้น เนื่องจากจำเลยรับเอาสินค้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วไม่ส่งกลับคืน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่เคยตกลงยินยอมจะซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ที่โจทก์ส่งสินค้ามาให้ซ่อมแซม จำเลยไม่เคยปฏิเสธที่จะคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่ด้วย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นและวินิจฉัยให้เสร็จไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่
เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 แต่เมื่อไม่ปรากฏว่า ทรัพย์สินที่จำเลยรับไปซ่อมแซมนั้น จำเลยไม่ยอมคืนหรือได้สูญหายหรือบุบสลายไปทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาราคาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งได้
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยไม่ยอมคืนเครื่องประดับให้แก่โจทก์ แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า จำเลยจะต้องซ่อมแซมเครื่องประดับให้เสร็จและส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนด ต่อจากนั้นโจทก์ก็จะนำเครื่องประดับทั้งหมดส่งมอบแก่ลูกค้าของโจทก์ได้ จำเลยซ่อมแซมเครื่องประดับไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้และส่งคืนมาในภายหลัง โจทก์จึงไม่อาจส่งคืนให้แก่ลูกค้าได้ เพราะเครื่องประดับล้าสมัย ไม่มีประโยชน์แก่โจทก์ เครื่องประดับไม่มีราคาและขายไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยรับผิดชอบราคาเครื่องประดับทั้งหมดนั้น กรณีเช่นว่านี้ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่คืนเครื่องประดับดังที่โจทก์ฟ้องไม่ โจทก์จึงไม่อาจเอาราคาเครื่องประดับแทนตัวทรัพย์สินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7563/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาชุบทองคำขาว: การผิดสัญญา, ความเสียหายจากสินค้าชำรุด, และการเรียกค่าเสียหาย
ก่อนที่โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยชุบทองคำขาวเครื่องประดับได้มีการตกลงกันถึงกรรมวิธีในการชุบทองคำขาวด้วย การที่จำเลยทำผิดขั้นตอนที่ตกลงกันหรือผิดปรกติประเพณีการชุบทองคำขาว จำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยให้ชุบทองคำขาวเครื่องประดับจำนวน 13,285 ชิ้น แล้วโจทก์ได้ส่งสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาปรากฏว่าจำเลยปฎิบัติผิดสัญญา ไม่ได้ชุบทองคำขาวให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน บริษัทที่จำหน่ายสินค้าในประเทศฝรั่งเศสได้ส่งสินค้าคืนมาให้โจทก์จำนวน 9,844 ชิ้น โจทก์จึงได้ส่งสินค้าตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยจัดการแก้ไขให้ถูกต้องและบรรเทาความเสียหาย แต่จำเลยก็มิได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับสินค้าที่ส่งกลับคืนมาทั้งหมดจำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำผิดสัญญาจ้าง จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยเพื่อให้ช่วยคิดหาวิธีแก้ไขนั้น มีสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นทำปะปนมาด้วยจำนวนหลายพันชิ้น โดยจำเลยไม่ได้ให้การว่าสินค้าเครื่องประดับดังกล่าวจำเลยรับจ้างชุบทองคำขาวกี่ชิ้น บุคคลอื่นรับจ้างชุบทองคำขาวให้แก่โจทก์กี่ชิ้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศและโจทก์ส่งให้แก่จำเลยทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยรับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้แล้ว ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นดังกล่าวนี้เสียจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นเครื่องประดับจำนวน 640,568.73 บาท และค่าเสียหายที่เป็นกำไรจำนวน 288,255.93 บาท ที่ฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินนั้นเนื่องจากจำเลยรับเอาสินค้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วไม่ส่งกลับคืน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่เคยตกลงยินยอมจะซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ที่โจทก์ส่งสินค้ามาให้ซ่อมแซม จำเลยไม่เคยปฎิเสธที่จะคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่ด้วย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นและวินิจฉัยให้เสร็จไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจาณาพิพากษาใหม่
เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา ตาม ป.พ.พ.มาตรา215 แต่เมื่อไม่ปรากฎว่า ทรัพย์สินที่จำเลยรับไปซ่อมแซมนั้น จำเลยไม่ยอมคืนหรือได้สูญหายหรือบุบสลายไปทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาราคาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งได้
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยไม่ยอมคืนเครื่องประดับให้แก่โจทก์แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า จำเลยจะต้องซ่อมแซมเครื่องประดับให้เสร็จและส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนด ต่อจากนั้นโจทก์ก็จะนำเครื่องประดับทั้งหมดส่งมอบแก่ลูกค้าของโจทก์ได้ จำเลยซ่อมแซมเครื่องประดับไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้และส่งคืนมาในภายหลัง โจทก์จึงไม่อาจส่งคืนให้แก่ลูกค้าได้ เพราะเครื่องประดับล้าสมัย ไม่มีประโยชน์แก่โจทก์ เครื่องประดับไม่มีราคาและขายไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยรับผิดชอบราคาเครื่องประดับทั้งหมดนั้น กรณีเช่นว่านี้ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่คืนเครื่องประดับดังที่โจทก์ฟ้องไม่ โจทก์จึงไม่อาจเอาราคาเครื่องประดับแทนตัวทรัพย์สินได้
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงว่าจ้างจำเลยให้ชุบทองคำขาวเครื่องประดับจำนวน 13,285 ชิ้น แล้วโจทก์ได้ส่งสินค้าทั้งหมดไปจำหน่ายในประเทศฝรั่งเศส ต่อมาปรากฏว่าจำเลยปฎิบัติผิดสัญญา ไม่ได้ชุบทองคำขาวให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ตกลงกัน บริษัทที่จำหน่ายสินค้าในประเทศฝรั่งเศสได้ส่งสินค้าคืนมาให้โจทก์จำนวน 9,844 ชิ้น โจทก์จึงได้ส่งสินค้าตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยจัดการแก้ไขให้ถูกต้องและบรรเทาความเสียหาย แต่จำเลยก็มิได้จัดการแก้ไขให้ถูกต้องตามสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายสำหรับสินค้าที่ส่งกลับคืนมาทั้งหมดจำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำผิดสัญญาจ้าง จำเลยไม่เคยตกลงยินยอมซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ สินค้าที่โจทก์ส่งไปให้จำเลยเพื่อให้ช่วยคิดหาวิธีแก้ไขนั้น มีสินค้าที่โจทก์ว่าจ้างบุคคลอื่นทำปะปนมาด้วยจำนวนหลายพันชิ้น โดยจำเลยไม่ได้ให้การว่าสินค้าเครื่องประดับดังกล่าวจำเลยรับจ้างชุบทองคำขาวกี่ชิ้น บุคคลอื่นรับจ้างชุบทองคำขาวให้แก่โจทก์กี่ชิ้น เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง คดีจึงไม่มีประเด็นว่าเครื่องประดับจำนวน 9,844 ชิ้น ที่ส่งคืนจากต่างประเทศและโจทก์ส่งให้แก่จำเลยทำให้ใหม่นั้น เป็นเครื่องประดับที่จำเลยรับจ้างทำจากโจทก์ทั้งหมดหรือไม่ที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้แล้ว ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกประเด็นดังกล่าวนี้เสียจึงชอบแล้ว
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นเครื่องประดับจำนวน 640,568.73 บาท และค่าเสียหายที่เป็นกำไรจำนวน 288,255.93 บาท ที่ฟ้องเรียกเงินที่เป็นราคาทรัพย์สินนั้นเนื่องจากจำเลยรับเอาสินค้าไปแก้ไขซ่อมแซมแล้วไม่ส่งกลับคืน จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่เคยตกลงยินยอมจะซ่อมแซมสินค้าให้แก่โจทก์ที่โจทก์ส่งสินค้ามาให้ซ่อมแซม จำเลยไม่เคยปฎิเสธที่จะคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย คดีจึงมีประเด็นว่า โจทก์จะฟ้องเรียกเอาราคาทรัพย์สินได้หรือไม่ด้วย แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 142 และมาตรา 183 เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดประเด็นเพิ่มขึ้นและวินิจฉัยให้เสร็จไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจาณาพิพากษาใหม่
เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ได้แต่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การที่จำเลยตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา ตาม ป.พ.พ.มาตรา215 แต่เมื่อไม่ปรากฎว่า ทรัพย์สินที่จำเลยรับไปซ่อมแซมนั้น จำเลยไม่ยอมคืนหรือได้สูญหายหรือบุบสลายไปทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาราคาทรัพย์สินทั้งหมดเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่งได้
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า จำเลยไม่ยอมคืนเครื่องประดับให้แก่โจทก์แต่ทางนำสืบของโจทก์กลับได้ความว่า จำเลยจะต้องซ่อมแซมเครื่องประดับให้เสร็จและส่งมอบให้โจทก์ภายในกำหนด ต่อจากนั้นโจทก์ก็จะนำเครื่องประดับทั้งหมดส่งมอบแก่ลูกค้าของโจทก์ได้ จำเลยซ่อมแซมเครื่องประดับไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้และส่งคืนมาในภายหลัง โจทก์จึงไม่อาจส่งคืนให้แก่ลูกค้าได้ เพราะเครื่องประดับล้าสมัย ไม่มีประโยชน์แก่โจทก์ เครื่องประดับไม่มีราคาและขายไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยรับผิดชอบราคาเครื่องประดับทั้งหมดนั้น กรณีเช่นว่านี้ หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่คืนเครื่องประดับดังที่โจทก์ฟ้องไม่ โจทก์จึงไม่อาจเอาราคาเครื่องประดับแทนตัวทรัพย์สินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7279/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเมื่อจำเลยยังไม่ได้รับหมายเรียกและโจทก์ขาดนัด สืบเนื่องจากจำเลยยังไม่ได้รับหมายเรียกและไม่ได้ยื่นคำให้การ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกนอกจากฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลแล้ว จำเลยทั้งสามก็ไม่มาศาลเพราะยังส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็ยังมีสิทธิยื่นคำให้การภายหลังวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้น กรณีเช่นนี้แม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจสืบพยานโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งเลื่อนคดีไปเพื่อมีคำสั่งเกี่ยวกับจำเลยทั้งสามเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความย่อมไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7279/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาและการเลื่อนคดีเพื่อแก้ไขสถานะจำเลย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก นอกจากฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลแล้วจำเลยทั้งสามก็ไม่มาศาลเพราะยังส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ สำหรับจำเลยที่ 3ที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ก็ยังมีสิทธิยื่นคำให้การภายหลังวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้น กรณีเช่นนี้แม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจสืบพยานโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งเลื่อนคดีไปเพื่อมีคำสั่งเกี่ยวกับจำเลยทั้งสามเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหนายคดีเสียจากสารบบความย่อมไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7279/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลื่อนคดีเพื่อแก้ไขสถานะจำเลยที่ไม่พร้อม และความชอบธรรมในการสั่งจำหน่ายคดี
ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกนอกจากฝ่ายโจทก์ไม่มาศาลแล้ว จำเลยทั้งสามก็ไม่มาศาลเพราะยังส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด แต่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็ยังมีสิทธิยื่นคำให้การภายหลังวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกนั้น กรณีเช่นนี้แม้โจทก์และพยานโจทก์จะมาศาลก็ไม่อาจสืบพยานโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งเลื่อนคดีไปเพื่อมีคำสั่งเกี่ยวกับจำเลยทั้งสามเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความย่อมไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7255/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลคดีล้มละลาย: การฟ้องจำเลยหลายคนที่มีภูมิลำเนาต่างเขต
เมื่อมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งเจ็ด มิใช่หนี้ร่วมที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ หากแต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์มูลความแห่งคดีที่จำเลยทั้งเจ็ดจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษา จึงเป็นการชำระหนี้ที่อาจแบ่งแยกจากกันได้ หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ ดังนี้ โจทก์จะเสนอคำฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดรวมมาในคดีเดียวกันมิได้
การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ไว้พิจารณาโดยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นก่อนศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับคดีสำหรับจำเลยดังกล่าว ซึ่งอยู่นอกเขตศาลชั้นต้นไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5)
การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ไว้พิจารณาโดยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นก่อนศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับคดีสำหรับจำเลยดังกล่าว ซึ่งอยู่นอกเขตศาลชั้นต้นไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7255/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลในคดีล้มละลาย: การฟ้องต้องยื่นต่อศาลที่มีภูมิลำเนาหรือธุรกิจของลูกหนี้
เมื่อมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยทั้งเจ็ด มิใช่หนี้ร่วมที่จำเลยทั้งเจ็ดต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ หากแต่เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดต่อโจทก์มูลความแห่งคดีที่จำเลยทั้งเจ็ดจะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษา จึงเป็นการชำระหนี้ที่อาจแบ่งแยกจากกันได้ หาได้เกี่ยวข้องกันไม่ ดังนี้ โจทก์จะเสนอคำฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดรวมมาในคดีเดียวกันมิได้
การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ไว้พิจารณาโดยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นก่อนศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับคดีสำหรับจำเลยดังกล่าว ซึ่งอยู่นอกเขตศาลชั้นต้นไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5)
การที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ไว้พิจารณาโดยขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 150 ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนคำสั่งรับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวอันเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำฟ้องจำเลยดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 และเมื่อความปรากฏต่อศาลชั้นต้นก่อนศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องเป็นไม่รับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจยอมรับคดีสำหรับจำเลยดังกล่าว ซึ่งอยู่นอกเขตศาลชั้นต้นไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 14(5)