พบผลลัพธ์ทั้งหมด 855 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2139/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกความของผู้รับประโยชน์กับข้อห้ามฟ้องผู้บุพการี และอำนาจศาลในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์มรณะส.ร้องขอรับมรดกความแต่ปรากฏว่าจำเลยเป็นปู่ของส.ซึ่งอยู่ในฐานะผู้บุพการี การรับมรดกความของ ส. จึงถือได้ว่าอยู่ในฐานะเป็นผู้ฟ้องบุพการี อันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 แม้จำเลยมิได้คัดค้าน คำร้องของ ส. และศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้รับมรดกความไปแล้ว แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าเข้าลักษณะเป็นอุทลุม ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยในเวลาพิพากษาคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นคดีอุทลุม ส. ผู้รับมรดกความคงอุทธรณ์คัดค้านในประเด็นสำคัญข้อเดียวว่าการรับมรดกความของ ส.ไม่เป็นการฟ้องผู้บุพการีส.มีอำนาจที่จะดำเนินคดีต่อไปได้ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะรับวินิจฉัยให้เฉพาะประเด็นแห่งอุทธรณ์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก้าวล่วงเข้าไปสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ ส. เข้ารับมรดกความเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น หาใช่ประเด็นที่ขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์โดยตรงไม่ อนึ่ง การขอรับมรดกความของ ส. ก็นับว่าเป็นไปโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42,43 ทั้งจำเลยก็มิได้คัดค้านคำร้องของ ส. แต่อย่างใด ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งอนุญาตได้ หาเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่
ในชั้นอุทธรณ์ ก. ผู้จัดการมรดกของโจทก์ผู้มรณะตามคำสั่งศาลยื่นคำร้องขอรับมรดกความร่วมกับ ส. เป็นการยอมรับให้ ส. มีฐานะเป็นผู้รับมรดกความต่อไป ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจสั่งตั้ง ก. ให้เข้ารับมรดกความแทนที่ ส. ซึ่งผิดไปจากคำขอ ทั้ง ก. ก็เพิ่งขอเข้ามารับมรดกความภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปแล้วและเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์มรณะจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ ก. เข้ามารับมรดกความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะดำเนินการให้ฟ้องเป็นคดีใหม่ภายในกำหนดอายุความนั้น ยังไม่เป็นการถูกต้อง เพราะ ส. อาจจะแก้ไขอำนาจฟ้องของตนให้สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องการรื้อร้องฟ้องเกี่ยวกับประเด็นวินิจฉัยชี้ขาดซ้ำแต่อย่างใด จึงไม่ใช่กรณีอันจำเป็นจะต้องกำหนดเงื่อนไข ในการฟ้องคดีใหม่ ให้เป็นคุณแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) ซึ่งจะกลายเป็นว่า ส. ผู้รับมรดกความยังอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้บุพการีอย่างคดีเดิมได้อีก
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นคดีอุทลุม ส. ผู้รับมรดกความคงอุทธรณ์คัดค้านในประเด็นสำคัญข้อเดียวว่าการรับมรดกความของ ส.ไม่เป็นการฟ้องผู้บุพการีส.มีอำนาจที่จะดำเนินคดีต่อไปได้ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะรับวินิจฉัยให้เฉพาะประเด็นแห่งอุทธรณ์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก้าวล่วงเข้าไปสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ ส. เข้ารับมรดกความเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น หาใช่ประเด็นที่ขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์โดยตรงไม่ อนึ่ง การขอรับมรดกความของ ส. ก็นับว่าเป็นไปโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42,43 ทั้งจำเลยก็มิได้คัดค้านคำร้องของ ส. แต่อย่างใด ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจสั่งอนุญาตได้ หาเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่
ในชั้นอุทธรณ์ ก. ผู้จัดการมรดกของโจทก์ผู้มรณะตามคำสั่งศาลยื่นคำร้องขอรับมรดกความร่วมกับ ส. เป็นการยอมรับให้ ส. มีฐานะเป็นผู้รับมรดกความต่อไป ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจสั่งตั้ง ก. ให้เข้ารับมรดกความแทนที่ ส. ซึ่งผิดไปจากคำขอ ทั้ง ก. ก็เพิ่งขอเข้ามารับมรดกความภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ไปแล้วและเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์มรณะจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ ก. เข้ามารับมรดกความ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์จะดำเนินการให้ฟ้องเป็นคดีใหม่ภายในกำหนดอายุความนั้น ยังไม่เป็นการถูกต้อง เพราะ ส. อาจจะแก้ไขอำนาจฟ้องของตนให้สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1534 ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องการรื้อร้องฟ้องเกี่ยวกับประเด็นวินิจฉัยชี้ขาดซ้ำแต่อย่างใด จึงไม่ใช่กรณีอันจำเป็นจะต้องกำหนดเงื่อนไข ในการฟ้องคดีใหม่ ให้เป็นคุณแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) ซึ่งจะกลายเป็นว่า ส. ผู้รับมรดกความยังอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้บุพการีอย่างคดีเดิมได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1691/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ย่อมลบล้างผล และต้องยื่นคำขอใหม่ตามกฎหมาย
จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ในระหว่างสอบสวนผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งอนุญาตจำหน่ายจากบัญชีเจ้าหนี้ ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าได้ถอนคำขอรับชำระหนี้ด้วยความหลงผิดว่าจะเป็นทางให้ลูกหนี้พ้นจากการถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ จึงขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานมายังศาลชั้นต้นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งที่สั่งไปโดยชอบได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้ศาลสั่งให้ผู้ร้องกลับคืนสู่ฐานะเจ้าหนี้ตามเดิม ดังนี้ หามีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งของตนที่ได้สั่งไปโดยชอบไม่ คงร้องขอให้ศาลมีคำสั่งได้เฉพาะที่เกี่ยวกับการใดที่เป็นปัญหาในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 143 และศาลจะสั่งเพิกถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ก็ไม่ได้เพราะการที่ผู้ร้องยื่นคำขอถอนคำขอรับชำระหนี้ก็ดี คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งอนุญาตให้ถอนได้ก็ดี ไม่เป็นการผิดระเบียบ หรือกฎหมายแต่อย่างใด เมื่อผู้ร้องถอนคำขอรับชำระหนี้ไปแล้ว ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำขอ และทำให้ผู้ร้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำขอรับชำระหนี้เลย หากผู้ร้องประสงค์จะขอรับชำระหนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา 91 จะขอให้เพิกถอนคำสั่งคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ซึ่งได้สั่งไปโดยชอบแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1691/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายมีผลลบล้างการยื่นคำขอ และต้องยื่นใหม่ตามกฎหมาย
จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ร้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในระหว่างสอบสวนผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งอนุญาตจำหน่ายจากบัญชีเจ้าหนี้ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าได้ถอนคำขอรับชำระหนี้ด้วยความหลงผิดว่าจะเป็นทางให้ลูกหนี้พ้นจากการถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้ จึงขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานมายังศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจเพิกถอนคำสั่งที่สั่งไปโดยชอบได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้ศาลสั่งให้ผู้ร้องกลับคืนสู่ฐานะเจ้าหนี้ตามเดิม ดังนี้ หามีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งของตนที่ได้สั่งไปโดยชอบไม่ คงร้องขอให้ศาลมีคำสั่งได้เฉพาะที่เกี่ยวกับการใดที่เป็นปัญหาในการปฏิบัติการตามหน้าที่ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 143 และศาลจะสั่งเพิกถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ก็ไม่ได้ เพราะการที่ผู้ร้องยื่นคำขอถอนคำขอรับชำระหนี้ก็ดี คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่สั่งอนุญาตให้ถอนได้ก็ดี ไม่เป็นการผิดระเบียบหรือกฎหมายแต่อย่างใด เมื่อผู้ร้องถอนคำขอรับชำระหนี้ไปแล้ว ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำขอ และทำให้ผู้ร้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำขอรับชำระหนี้เลย หากผู้ร้องประสงค์จะขอรับชำระหนี้ ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 91 จะขอให้เพิกถอนคำสั่งคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ซึ่งได้สั่งไปโดยชอบแล้วหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย: สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 (1) จำเลยจึงอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งดังกล่าวนี้ได้
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี: จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์และฎีกาได้หากคำสั่งจำหน่ายคดีเป็นการหลงผิด
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดี ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) จำเลยจึงอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งดังกล่าวนี้ได้
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 (วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเพราะศาลหลงผิดว่าโจทก์และจำเลยขาดนัดพิจารณา คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 200 และถือได้ว่าเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาโดยขาดนัดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยหลงผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 (วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านการขายทอดตลาดต้องยื่นภายใน 8 วันนับแต่วันทราบการกระทำที่ไม่ชอบ มิเช่นนั้นเสียสิทธิ
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดมีผู้ให้ราคาสูงสุด เจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอศาล ศาลอนุญาตให้ขายได้ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดใหม่อ้างว่าโจทก์กับพวกสมรู้กันประมูลซื้อทรัพย์โดยไม่สุจริต และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าการบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย คำร้องเช่นนี้จะต้องยื่นต่อศาลไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันได้ทราบถึงการกระทำนั้นๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 และ 296 หากมิได้ยื่นภายในกำหนดดังกล่าวจำเลยย่อมไม่มีสิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2753/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดค้านการขายทอดตลาดต้องยื่นภายใน 8 วันนับแต่วันที่ทราบเหตุ หากพ้นกำหนด สิทธิคัดค้านสิ้นสุด
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาด มีผู้ให้ราคาสูงสุด เจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอศาล ศาลอนุญาตให้ขายได้ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดใหม่อ้างว่าโจทก์กับพวกสมรู้กันประมูลซื้อทรัพย์โดยไม่สุจริต และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาดโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าการบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนกฎหมาย คำร้องเช่นนี้จะต้องยื่นต่อศาลไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันได้ทราบถึงการกระทำนั้นๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และ 296 หากมิได้ยื่นภายในกำหนดดังกล่าว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิคัดค้านการขายทอดตลาดนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องโจทก์: แม้จำเลยไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น แต่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยประเด็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติ
แม้จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ที่สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยไว้ แต่เมื่อคดีมีประเด็นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ ศาลอุทธรณ์ย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ โดยให้ศาลชั้นต้นสืบพยานในประเด็นดังกล่าว แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่แจ้งผู้สู้ราคา
ศาลซึ่งได้รับมอบหมายจากศาลซึ่งพิจารณาพิพากษาคดี ให้ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์และขายทอดตลาดแทนนั้น เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดโดยไม่ชอบ และความไม่ถูกต้องของการบังคับคดีปรากฏขึ้นต่อศาลโดยชัดแจ้งศาลซึ่งดำเนินการบังคับคดีแทนนั้นย่อมมีอำนาจสั่งไต่สวนและมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่กระทำโดยไม่ชอบนั้นเสียได้ เพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ไม่
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งเงื่อนไขให้ผู้เข้าสู้ราคาทุกคนทราบก่อนขายทอดตลาดทรัพย์ว่า. ในการสู้ราคาจะนับหนึ่งถึงสามก่อนเคาะไม้ตกลงขาย เมื่อมีผู้เสนอราคาเจ้าพนักงานบังคับคดีกลับเคาะไม้ตกลงขายไปทีเดียว โดยไม่นับหนึ่งถึงสามเสียก่อน เป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข การขายทอดตลาดนั้นจึงไม่ชอบ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเคาะไม้ตกลงขายให้แก่ผู้สู้ราคาสูงสุด ก็หาเป็นเหตุให้การขายทอดตลาดนั้นสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2515)
เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งเงื่อนไขให้ผู้เข้าสู้ราคาทุกคนทราบก่อนขายทอดตลาดทรัพย์ว่า. ในการสู้ราคาจะนับหนึ่งถึงสามก่อนเคาะไม้ตกลงขาย เมื่อมีผู้เสนอราคาเจ้าพนักงานบังคับคดีกลับเคาะไม้ตกลงขายไปทีเดียว โดยไม่นับหนึ่งถึงสามเสียก่อน เป็นการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข การขายทอดตลาดนั้นจึงไม่ชอบ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเคาะไม้ตกลงขายให้แก่ผู้สู้ราคาสูงสุด ก็หาเป็นเหตุให้การขายทอดตลาดนั้นสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 27/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายประนีประนอม: สัญญาประนีประนอมชอบธรรมเมื่อทนายมีอำนาจตามใบแต่ง
จำเลยแต่งทนายความให้มีอำนาจในการประนีประนอมยอมความได้การที่ทนายจำเลยไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยชอบ ฎีกาของจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ข้อความในใบแต่งทนายไม่ถูกต้อง คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าทนายจำเลยไม่ได้ปรึกษากับจำเลยก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าศาลได้ดำเนินการพิจารณาโดยผิดระเบียบ ไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย