พบผลลัพธ์ทั้งหมด 855 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1785/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการประนีประนอมยอมความ: การกระทำของทนายชอบด้วยอำนาจตามใบแต่งทนาย
จำเลยแต่งทนายความให้มีอำนาจในการประนีประนอมยอมความได้การที่ทนายจำเลยไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยชอบ ฎีกาของจำเลยไม่ได้โต้แย้งว่า ข้อความในใบแต่งทนายไม่ถูกต้อง คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่าทนายจำเลยไม่ได้ปรึกษากับจำเลยก่อน จึงฟังไม่ได้ว่าศาลได้ดำเนินการพิจารณาโดยผิดระเบียบ ไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธคำขอสืบพยานเพิ่มเติมและการต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงขอสืบพยานในประเด็นว่าจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้จดข้อแถลงของโจทก์ไว้ในรายงานพิจารณา จึงขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกไว้เป็นประเด็นและขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานในข้อนี้ได้ โดยถือว่าเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีการผิดมาตรา 27 เป็นเรื่องกล่าวอ้างขึ้นใหม่นั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องผิดระเบียบและปฏิเสธไม่ยอมให้โจทก์สืบพยานในประเด็นที่ไม่ได้กำหนดกันไว้ในวันนัดชี้สองสถาน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิใช่คำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 228(2) และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในเรื่องนี้ก่อนพิพากษาคดีเป็นเวลา 5 วัน โจทก์มีเวลาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้จึงต้องห้ามอุทธรณ์และกรณีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1602/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลที่ไม่รับฟังพยานหลักฐานใหม่ และผลของการไม่โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณา
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงขอสืบพยานในประเด็นว่าจำเลยขัดขวางมิให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญา จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่โจทก์จะปฏิบัติตามสัญญาได้ แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้จดข้อแถลงของโจทก์ไว้ในรายงานพิจารณา จึงขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกไว้เป็นประเด็นและขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานในข้อนี้ได้ โดยถือว่าเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีการผิดมาตรา 27 เป็นเรื่องกล่าวอ้างขึ้นใหม่นั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้เป็นคำสั่งที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องผิดระเบียบและปฏิเสธไม่ยอมให้โจทก์สืบพยานในประเด็นที่ไม่ได้กำหนดกันไว้ในวันนัดชี้สองสถาน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 มิใช่คำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(2) และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในเรื่องนี้ก่อนพิพากษาคดีเป็นเวลา 5 วัน โจทก์มีเวลาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น แต่โจทก์มิได้โต้แย้งไว้จึงต้องห้ามอุทธรณ์และกรณีไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบพยานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขคำฟ้องได้ก่อนพิพากษา แม้ไม่มีชี้สองสถานหรือสืบพยาน
ในคดีแพ่ง เมื่อไม่มีการชี้สองสถานหรือสืบพยาน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งงดการดำเนินกระบวนพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษาแล้วแต่ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา ย่อมถือว่าอยู่ในระยะเวลาที่คู่ความอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องหรือคำให้การได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2514)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขคำฟ้องก่อนมีคำพิพากษา: สิทธิของคู่ความแม้ไม่มีการชี้สองสถานหรือสืบพยาน
ในคดีแพ่ง เมื่อไม่มีการชี้สองสถานหรือสืบพยาน แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งงดการดำเนินกระบวนพิจารณาและนัดฟังคำพิพากษาแล้ว แต่ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิพากษา ย่อมถือว่าอยู่ในระยะเวลาที่คู่ความอาจยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องหรือคำให้การได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2514)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 22/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาคดีที่มิชอบ แม้ไม่มีข้ออุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณายกคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานที่จำเลยที่ 1 และ 2 เป็นนายจ้างของผู้ขับรถโดยประมาทและจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาคดีโดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันนัดสืบพยานและวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ พิพากษาให้เพิกถอนเสียแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกปัญหาข้อนี้อุทธรณ์ขึ้นมาก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1172/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กระบวนการพิจารณาคดีที่ผิดระเบียบ: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้ไขแม้ไม่มีการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, 2 และ 4 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในฐานที่จำเลยที่ 1 และ 2 เป็นนายจ้างของผู้ขับรถโดยประมาทและจำเลยที่ 4 เป็นผู้รับประกันภัยความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณาแล้วพิพากษาคดีโดยจำเลยที่ 1 ไม่ทราบวันนัดสืบพยานและวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ พิพากษาให้เพิกถอนเสียแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ แม้จะไม่มีฝ่ายใดยกปัญหาข้อนี้อุทธรณ์ขึ้นมาก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการแก้ไขคำให้การและคำฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ยกเลิกกระบวนพิจารณาได้หรือไม่
เหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่กล่าวไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 นั้น ศาลสูงจะหยิบยกขึ้นอ้างตามมาตรานี้ได้ จะต้องมีเหตุอันสมควร เช่นว่า ทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเสียหายในการต่อสู้คดีเป็นต้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ (มีคำฟ้องแย้งติดมาด้วย) โดยมิได้ให้โอกาสแก่โจทก์เป็นระยะเวลาตามที่มาตรา 181 กำหนดไว้นั้น ถ้าโจทก์ไม่พอใจ ก็ชอบที่จะคัดค้านไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำแก้คำให้การเพิ่มเติมและฟ้องแย้ง แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจ แม้ในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ รูปคดีไม่น่าจะเห็นว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหยิบยกเหตุนี้ขึ้นสั่งยกเลิกกระบวนพิจารณาบางส่วนของศาลชั้นต้น
คำฟ้องแย้งที่ติดมากับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนั้น ไม่ใช่คำร้องที่อยู่ในบังคับที่จะต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าก่อนสั่งรับคำร้องนั้น
คำสั่งศาลที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ (มีคำฟ้องแย้งติดมาด้วย) โดยมิได้ให้โอกาสแก่โจทก์เป็นระยะเวลาตามที่มาตรา 181 กำหนดไว้นั้น ถ้าโจทก์ไม่พอใจ ก็ชอบที่จะคัดค้านไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำแก้คำให้การเพิ่มเติมและฟ้องแย้ง แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจ แม้ในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ รูปคดีไม่น่าจะเห็นว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหยิบยกเหตุนี้ขึ้นสั่งยกเลิกกระบวนพิจารณาบางส่วนของศาลชั้นต้น
คำฟ้องแย้งที่ติดมากับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนั้น ไม่ใช่คำร้องที่อยู่ในบังคับที่จะต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าก่อนสั่งรับคำร้องนั้น
คำสั่งศาลที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำให้การและการเพิกถอนกระบวนพิจารณา ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ
เหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่กล่าวไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 นั้น ศาลสูงจะหยิบยกขึ้นอ้างตามมาตรานี้ได้ จะต้องมีเหตุอันสมควร เช่นว่า ทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเสียหายในการต่อสู้คดีเป็นต้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ (มีคำฟ้องแย้งติดมาด้วย) โดยมิได้ให้โอกาสแก่โจทก์เป็นระยะเวลาตามที่มาตรา 181 กำหนดไว้นั้น ถ้าโจทก์ไม่พอใจก็ชอบที่จะคัดค้านไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำแก้คำให้การเพิ่มเติมและฟ้องแย้ง แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจแม้ในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ รูปคดีไม่น่าจะเห็นว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหยิบยกเหตุนี้ขึ้นสั่งยกเลิกกระบวนพิจารณาบางส่วนของศาลชั้นต้น
คำฟ้องแย้งที่ติดมากับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนั้นไม่ใช่คำร้องที่อยู่ในบังคับที่จะต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าก่อนสั่งรับคำร้องนั้น
คำสั่งศาลที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ (มีคำฟ้องแย้งติดมาด้วย) โดยมิได้ให้โอกาสแก่โจทก์เป็นระยะเวลาตามที่มาตรา 181 กำหนดไว้นั้น ถ้าโจทก์ไม่พอใจก็ชอบที่จะคัดค้านไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แต่กลับปรากฏว่าโจทก์ยื่นคำแก้คำให้การเพิ่มเติมและฟ้องแย้ง แสดงว่าโจทก์ไม่ติดใจแม้ในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ รูปคดีไม่น่าจะเห็นว่าทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหยิบยกเหตุนี้ขึ้นสั่งยกเลิกกระบวนพิจารณาบางส่วนของศาลชั้นต้น
คำฟ้องแย้งที่ติดมากับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การนั้นไม่ใช่คำร้องที่อยู่ในบังคับที่จะต้องส่งสำเนาให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าก่อนสั่งรับคำร้องนั้น
คำสั่งศาลที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์ก่อนการบังคับคดี การถอนคำร้องไต่สวน และสิทธิในการอุทธรณ์
ศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายนาพิพาทไปก่อนสั่งคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง ดังนี้ ผู้ร้องยังเป็นคนนอกคดีในขณะศาลอนุญาตให้ขาย เมื่อผู้ร้องเห็นว่าการขายทำไปโดยไม่ถูกต้องไม่สมควรประการใด ถ้าหากตนมีส่วนได้เสียก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งยกคำสั่งอนุญาตให้ขาย และกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสองเมื่อศาลไต่สวนสั่งต่อไปประการใด หากไม่พอใจก็อุทธรณ์ฎีกาต่อไป กรณีนี้ ในชั้นแรกศาลก็สั่งนัดไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อสั่งคำร้องของผู้ร้องแล้ว แต่ผู้ร้องกลับขอให้งดการไต่สวนเสียเอง แล้วยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขายนาที่พิพาทเสียทีเดียวดังนี้ ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะรับฟังตามคำร้องของผู้ร้องได้ ผู้ร้องจึงไม่มีข้ออ้างที่จะยกเป็นข้ออุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ขายทอดตลาดไปก่อนแล้วได้