คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 16 วรรคท้าย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6488/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ: ศาลชั้นต้นมีอำนาจรับฟ้องได้ แม้ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ จะมีอำนาจพิจารณา
ศาลชั้นต้นเป็นศาลที่มีอำนาจที่จะรับคำร้องขอให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 9 เพราะเป็นศาลที่ผู้คัดค้านมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล ซึ่งในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องนั้น ผู้ร้องยังไม่ทราบว่าคดีจะอยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางหรือไม่ จนกระทั่งผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยเนื่องจากมีปัญหาว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางหรือไม่ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 9 (เดิม) แล้วมีคำวินิจฉัยของประธานศาลฎีกาให้คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางซึ่งเป็นศาลชำนัญพิเศษ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ความปรากฏในภายหลังว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โอนสำนวนคดีพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมไปยังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง แล้วให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น จึงเป็นการสั่งโอนคดีไปยังศาลยุติธรรมอื่นที่มีเขตอำนาจ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6912/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: คดีบุกรุกทางสาธารณประโยชน์เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลจังหวัดมีอำนาจพิจารณา
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกและทำรั้วลวดหนามกับก่อสร้างอาคารห้องน้ำปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ซึ่งจำเลยอ้างว่าอยู่ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 19603 ของจำเลย โดยไม่ชอบ ขอให้บังคับห้ามจำเลยปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ให้จำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีต รั้วลวดหนามและอาคารห้องน้ำที่ปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ออกไป กับห้ามจำเลยเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด แม้จำเลยให้การว่า ไม่มีทางสาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 19603 ของจำเลย ย่อมเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทตามที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นทางสาธารณประโยชน์เป็นที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท คดีจึงมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ อันจะทำให้กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท ส่วนที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันฟ้องนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายในอนาคต ไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทได้ คดีตามคำฟ้องจึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงสุราษฎร์ธานีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4466/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวง: คดีครอบครองปรปักษ์ที่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์และราคาประเมินไม่เกิน 300,000 บาท
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดิน 29 แปลง ซึ่งการพิจารณาคดีศาลจะต้องแยกพิจารณาที่ดินแต่ละแปลงออกต่างหากจากกัน รวมถึงเมื่อพิจารณาแล้วจะต้องพิพากษาตามคำขอของโจทก์เป็นรายแปลง แม้โจทก์จะมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่เมื่อจำเลยทั้งสองให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 จึงเป็นคดีที่มีการกล่าวแก้ข้อพิพาทว่าด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ มิใช่คดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้อีกต่อไป เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาที่ดินพิพาทไร่ละ 12,000 บาท และคำนวณราคาที่ดินพิพาทแต่ละแปลงแล้วไม่เกิน 300,000 บาท คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงพิษณุโลกตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย นั้น ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: โอนคดีจากศาลจังหวัดไปศาลแขวงหลังสืบพยานได้ หากพบทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท
แม้ศาลจังหวัดนครปฐมจะได้รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จและอยู่ระหว่างนัดฟังคำพิพากษาก็ตาม แต่เมื่อปรากฏภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงนครปฐมตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 วรรคหนึ่ง (4) ไม่ใช่คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดนครปฐมเสียแล้ว ศาลจังหวัดนครปฐมย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้อำนาจศาลจังหวัดนครปฐมที่จะใช้ดุลพินิจรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ดังนั้น การที่ศาลจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งโอนคดีเรื่องนี้ไปยังศาลแขวงนครปฐมซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้นั้นเป็นการชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้ายแล้ว และเมื่อศาลแขวงนครปฐมจะเป็นผู้พิจารณาคดีนี้ต่อไป ผู้พิพากษาศาลแขวงนครปฐมจึงมีอำนาจทำคำพิพากษาคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวง: คดีครอบครองที่ดินพิพาท (ทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 แสน) ศาลจังหวัดมีอำนาจโอนให้ศาลแขวงพิจารณา
พฤติการณ์ของจำเลยทั้งหกตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมา เห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งหกได้โต้แย้งว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นที่ดินสาธารณะ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีทุนทรัพย์ โดยถือทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์เรียกร้อง ราคาที่ดินพิพาทในคดีนี้เมื่อรวมกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งหกแล้ว ไม่เกิน 300,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงสุรินทร์ที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมฯ มาตรา 17 ประกอบมาตรา 24 (4) ศาลจังหวัดสุรินทร์ชอบที่จะโอนคดีเรื่องนี้ไปให้ศาลแขวงสุรินทร์พิจารณาพิพากษาต่อไปตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมฯ มาตรา 16 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4094/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: โอนคดีจากศาลจังหวัดไปศาลแขวงเมื่อมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 300,000 บาท
การที่โจทก์จะนำคดีขึ้นสู่ศาลใดนั้นจะต้องพิจารณาว่าคดีนั้นอยู่ในเขตอำนาจของศาลใดเป็นสำคัญ เมื่อคดีอยู่ในอำนาจของศาลใดแล้ว อีกศาลหนึ่งไม่มีอำนาจรับคดีเรื่องนั้นไว้พิจารณาพิพากษา เว้นแต่จะมีบทกฎหมายบัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะรับคดีนั้นไว้พิจารณาพิพากษาได้ ซึ่งคดีเรื่องนี้แม้ศาลจังหวัดพิษณุโลกได้รับฟ้องโจทก์ไว้และมีการพิจารณาสืบพยานโจทก์จนเสร็จและอยู่ระหว่างนัดสืบพยานจำเลยดังที่โจทก์อุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏภายหลังว่าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงพิษณุโลกตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ไม่ใช่คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพิษณุโลกเสียแล้ว ศาลจังหวัดพิษณุโลกย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเรื่องนี้ได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 ทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดให้อำนาจศาลจังหวัดพิษณุโลกที่จะใช้ดุลพินิจรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปได้ด้วย ดังนั้น การที่ศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคำสั่งให้โอนคดีเรื่องนี้ไปยังศาลแขวงพิษณุโลกซึ่งเป็นศาลที่เขตอำนาจพิพากษาคดีได้นั้นเป็นการชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5205/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล: การโอนคดีระหว่างศาลชั้นต้นกับศาลแขวงเมื่อมีการต่อสู้สิทธิในทรัพย์สิน และการอุทธรณ์คำสั่ง
โจทก์ฟ้องคดีอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ต่อศาลจังหวัด เมื่อจำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์จึงกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท ศาลจังหวัดจึงให้โอนคดีไปให้ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาต่อไป ศาลแขวงไม่รับโอนคดีและส่งสำนวนคืนศาลจังหวัด เมื่อศาลจังหวัดรับสำนวนคืนมาแล้ว ได้นัดพร้อมและแจ้งคำสั่งของศาลแขวงให้คู่ความทราบ จึงเป็นกรณีที่ศาลจังหวัดกับศาลแขวงต่างไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ แม้เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นการโต้แย้งคำสั่งของศาลแขวงที่ไม่ยอมรับโอนคดี แต่เมื่อศาลจังหวัดรับสำนวนคืนจากศาลแขวงไว้แล้ว ทั้งคดีจะต้องมีปัญหาวินิจฉัยว่า ระหว่างศาลจังหวัดกับศาลแขวงศาลใดจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป โจทก์ชอบที่จะมีสิทธิอุทธรณ์คดีนี้โดยยื่นต่อศาลจังหวัดได้ โจทก์ได้รับแจ้งคำสั่งจากศาลจังหวัดเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2545 เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์วันที่ 17 ธันวาคม 2545 อันเป็นการอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 อุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย