พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์ ศาลฎีกาชี้ว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้รายละเอียดการกระทำผิดจะนำสืบในชั้นพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นภรรยาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายจาก นาย อ. ผู้เสียหายให้เป็นผู้จัดการและเป็นผู้ดูแลโรงงานผลิตรองเท้าพลาสติค พีวีซี และมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษารับผิดชอบเกี่ยวกับทรัพย์สินต่าง ๆ ของผู้เสียหายในโรงงานดังกล่าวนั้นด้วย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2517 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันยักยอกทรัพย์ (มีรายละเอียดตามฟ้อง) รวมราคาทั้งสิ้น 218,000 บาท ของผู้เสียหาย ซึ่งได้มอบให้จำเลยที่ 1 ไว้สำหรับใช้และผลิตขึ้นในโรงงานดังกล่าวข้างต้นไปเป็นอาณาประโยชน์ของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) และองค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 แล้ว ส่วนจำเลยทั้งสองจะได้ร่วมกันยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริตอย่างไรเป็นรายละเอียดที่จะต้องนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3090/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายเชื่อเครื่องเพชรไม่ถือเป็นยักยอก หากผิดสัญญาเป็นเรื่องแพ่ง
ผู้เสียหายมอบเครื่องเพชรให้จำเลยไปขาย โดยผู้เสียหายคิดเอาราคา 32,300 บาท มีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะจ่ายเงินตามราคาของให้เมื่อครบ 1 เดือน นับแต่วันเอาของไป ถ้าขายไม่ได้จะคืนของภายใน 1 เดือน เช่นกันโดยไม่ได้จำกัดว่าจำเลยจะต้องขายในราคาเท่าใด เช่นนี้ เงินที่ขายเครื่องเพชรดังกล่าวได้จึงตกเป็นของจำเลย เพียงแต่จำเลยมีความผูกพันว่าจะต้องนำเงิน 32,300 บาท มาคืนให้แก่ผู้เสียหายตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น กรณีจึงมิใช่จำเลยได้รับมอบหมายให้รับเครื่องเพชรหรือราคาเครื่องเพชรไว้แทนผู้เสียหายแต่เป็นกรณีผู้เสียหายขายเชื่อเครื่องเพชรให้จำเลยไป แม้จำเลยไม่จ่ายเงินแก่ผู้เสียหายและไม่คืนเครื่องเพชรก็เป็นเรื่องผิดสัญญาแพ่ง ไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3090/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายเชื่อเครื่องเพชรไม่เป็นความผิดฐานยักยอก เป็นเพียงผิดสัญญาทางแพ่ง
ผู้เสียหายมอบเครื่องเพชรให้จำเลยไปขาย โดยผู้เสียหายคิดเอาราคา 32,300 บาท มีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะจ่ายเงินตามราคาของให้เมื่อครบ 1 เดือนนับแต่วันเอาของไปถ้าขายไม่ได้จะคืนของให้ภายใน 1 เดือนเช่นกัน โดยไม่ได้จำกัดว่าจำเลยจะต้องขายในราคาเท่าใด เช่นนี้เงินที่ขายเครื่องเพชรดังกล่าวได้จึงตกเป็นของจำเลย เพียงแต่จำเลยมีความผูกพันว่าจะต้องนำเงิน 32,300 บาทมาคืนให้แก่ผู้เสียหายตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น กรณีจึงมิใช่จำเลยได้รับมอบหมายให้รับเครื่องเพชรหรือราคาเครื่องเพชรไว้แทนผู้เสียหาย แต่เป็นกรณีผู้เสียหายขายเชื่อเครื่องเพชรให้จำเลยไป แม้จำเลยไม่จ่ายเงินแก่ผู้เสียหาย และไม่คืนเครื่องเพชรก็เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนในการฟ้องคดีอาญา: เจตนาทุจริตและฐานความผิด
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับ ฮ. ได้กระบือ 3 ตัวของผู้เสียหายมาไว้ในครอบครอง แล้วจำเลยกับ ฮ. ร่วมกันเอากระบือของผู้เสียหายดังกล่าว ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย จำเลยทุจริต ใช้ จ้าง วาน ฮ. ไปหลอกลวงผู้เสียหายจนหลงเชื่อส่งมอบกระบือให้ ได้กระบือมาโดยเจตนาฉ้อโกงแต่แรก หรือมิฉะนั้นมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกกระบือที่ผู้เสียหายมอบให้ ภายหลังที่ได้กระบือมาครอบครอง ดังนี้เป็นการบรรยายว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง มิใช่กระทำความผิดสองฐานในคราวเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ไม่ขัดกัน จำเลยมีความตั้งใจอย่างไรเป็นเรื่องในใจของจำเลย ซึ่งจำเลยควรเข้าใจข้อหาได้ดีว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดอย่างใด ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืมทรัพย์แล้วทรัพย์สูญหาย - ไม่เข้าข่ายยักยอก หากไม่มีเจตนาเบียดบังเป็นของตน
จำเลยยืมเครื่องพ่นฝ้ายของผู้เสียหายไป แล้วปรากฏว่าเครื่องเสียผู้เสียหายให้จำเลยเอาไปซ่อม แล้วเครื่องนั้นหายไปโดยไม่ได้ความว่าจำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเองหรือของผู้อื่นแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต อันเป็นผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2135/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืมทรัพย์สินเสียหาย/หาย ไม่เข้าข่ายยักยอก หากไม่มีเจตนาเบียดบัง
จำเลยยืมเครื่องพ่นฝ้ายของผู้เสียหายไป แล้วปรากฏว่าเครื่องเสีย ผู้เสียหายให้จำเลยเอาไปซ่อม แล้วเครื่องนั้นหายไป โดยไม่ได้ความว่าจำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเองหรือของผู้อื่นแต่อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้เบียดบังเอาทรัพย์สินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต อันเป็นผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1905/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาระงับข้อพิพาท ยักยอกเงิน vs ยืมเงิน สิทธิฟ้องอาญาหยุดนิ่งตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบเงินให้จำเลยไปลงหุ้นจำนวน 350,000 บาท จำเลยได้ยักยอกเงินจำนวนนั้นไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เมื่อปรากฎว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญากันตามเอกสารหมาย ล.1 มีข้อความว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไป 350,000 บาทแล้ว ไม่สามารถใช้หนี้จำเลยให้บุคคลอื่นชำระหนี้แทนโยจำเลยเช็คเป็นประกันแก่บุคคลนั้นไว้ โจทก์ตกลงตามนั้น แสดงว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาเอกสารหมาย ล.1 ขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทในเรื่องเงินที่จำเลยได้รับไปจากโจทก์แล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในข้อหาฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1796/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงร่วมออกค่าใช้จ่าย-การคืนเงิน: ไม่เป็นความผิดอาญา แต่เป็นเรื่องแพ่ง
โจทก์ทั้งสามกับพวกและจำเลยมีสัญญาตกลงกันให้จำเลยไปติดต่อกับการไฟฟ้าฯให้ต่อไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน โดยโจทก์ทั้งสามกับพวกและจำเลยรวม 9 คน ได้ช่วยกันออกค่าใช้จ่ายคนละเท่า ๆ กัน และเมื่อต่อไฟฟ้าเข้ามาใช้ในหมู่บ้านได้สำเร็จ หากมีชาวบ้านมาขอต่อใช้ไฟฟ้าภายหลังก็จะเรียกเก็บเงินเอามาคืนให้โจทก์ทั้งสามกับพวกและจำเลยรวมทั้ง 9 คน ดังนี้ เงินที่จำเลยเรียกเก็บจากชาวบ้านที่ขอต่อไฟฟ้าในภายหลัง เป็นเงินที่ชาวบ้านมอบให้จำเลยซึ่งเป็นคนละส่วนกันแล้วแต่ชาวบ้านจะมาติดต่อโจทก์ทั้งสามจะมีสิทธิได้เงินดังกล่าวหรือไม่นั้นก็โดยอาศัยสัญญาที่มีอยู่ต่อกันเท่านั้น หากจำเลยไม่นำเงินมาเฉลี่ยให้โจทก์ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยในทางแพ่ง หามีมูลความผิดทางอาญาไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1741/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของรวมทำสัญญาจะขายที่ดินโดยพลการ ไม่ผูกพันเจ้าของรวมคนอื่น ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก
จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมคนหนึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดไปโดยพลการ สัญญานั้นย่อมไม่ผูกพัน และไม่มีผลให้เจ้าของรวมคนอื่นต้องขายส่วนของตนด้วย จึงไม่เป็นการทำสัญญาและรับเงินแทนเจ้าของรวมคนอื่น ซึ่งไม่มีสิทธิที่จะได้รับส่วนแบ่งเงินมัดจำ และจำเลยไม่ต้องมอบเงินดังกล่าวแก่เจ้าของรวม การกระทำของจำเลยจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานยักยอก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะลูกจ้างประจำไม่ใช่เจ้าพนักงาน แม้มีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าราชพัสดุ ยักยอกทรัพย์เป็นความผิดต่อทรัพย์
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์เบิกเงินค่าจ้างในงบงานจัดทรัพย์สินของรัฐกรมธนารักษ์ โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน มีตำแหน่งเป็นพนักงานเก็บเงินที่มีผู้ชำระต่อราชพัสดุจังหวัดเท่านั้น จึงมิใช่เป็นข้าราชการที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามกฎหมาย คำสั่งจ้างจำเลยระบุเพียงว่าให้จ้างจำเลยเข้าเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมธนารักษ์ มิได้อ้างว่าแต่งตั้งจำเลยโดยอาศัยอำนาจของกฎหมายใดฉะนั้น แม้จำเลยจะมีหน้าที่เก็บเงินค่าเช่าอาคารราชพัสดุก็มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้าง หาใช่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายไม่
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคารราชพัสดุแล้ว ยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริงก็เป็นอันตรงกับคำฟ้องแล้ว ส่วนที่ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์
เงินที่จำเลยยักยอกไปเป็นเงินที่จำเลยเก็บจากผู้เช่าอาคารราชพัสดุแล้ว ยังมิได้ส่งต่อทางราชการ จำเลยมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาเงินนั้น และต้องส่งมอบให้แก่ทางราชการเงินที่จำเลยรับไว้จึงเป็นของราชการกรมธนารักษ์ไม่ใช่เป็นของประชาชนผู้ชำระค่าเช่าแต่ละราย เพราะกรมธนารักษ์ต้องรับผลในการกระทำของจำเลยในอันที่จะไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าให้ชำระอีกไม่ได้ ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ครอบครองและควบคุมดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมธนารักษ์จึงเป็นผู้เสียหาย
สารสำคัญตามฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไป เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเอาเงินไปจริงก็เป็นอันตรงกับคำฟ้องแล้ว ส่วนที่ตามฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานนั้น แม้ตามทางพิจารณาจะไม่ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน ก็ยังถือไม่ได้ว่าคดีได้ความตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมหรือฟ้องไม่สมบูรณ์