คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 352

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2885/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์เรือ การซื้อขาย การจดทะเบียน และความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยซื้อเรือยนต์ซึ่งมีน้ำหนักเกินกว่า 6 ตัน แต่การซื้อขายยังไม่ได้จดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กรรมสิทธิ์ในเรือดังกล่าวจึงยังไม่ตกมาเป็นของจำเลย ดังนั้นจำเลยซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ จึงไม่อาจจะโอนกรรมสิทธิ์มาให้แก่โจทก์ร่วมได้ แม้โจทก์ร่วมจะได้จดทะเบียนการโอนเรือลำนั้นจากจำเลยโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ.2481 แล้วก็ตาม โจทก์ร่วมก็หาได้กรรมสิทธิ์ไม่ เพราะพระราชบัญญัติเรือไทยดังกล่าวไม่ได้บัญญัติไว้เลยว่า ไม่ว่ากรณีใดๆ ผู้ที่ได้จดทะเบียนการโอนเรือตามพระราชบัญญัติฉบับนี้แล้ว จะต้องได้กรรมสิทธิ์เสมอไป
จำเลยตกลงซื้อเรือชื่อ พ. มาจาก ล. แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์กันโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้นจำเลยได้ไปจัดการขอทำทะเบียนเรือลำนั้นขึ้นใหม่ทั้งๆ ที่มีทะเบียนโดยชอบอยู่แล้วและเปลี่ยนชื่อเรือเสียใหม่เป็น ช. ด้วย แล้วนำใบทะเบียนเรือฉบับใหม่นั้นไปประกันการกู้ยืมเงิน ป.ต่อมาจำเลยได้จัดการขายเรือดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมโดยอาศัยใบทะเบียนเรือที่จัดทำขึ้นไว้นั้นเอง พฤติการณ์เช่นนี้แสดงอยู่ว่า ความจริงจำเลยได้มีเจตนาและวางแผนการมาแต่แรกเพื่อที่จะฉ้อโกงผู้อื่น ด้วยการหลอกลวงว่าเรือดังกล่าวชื่อ ช. ซึ่งไม่เป็นความจริงโดยใช้ใบทะเบียนที่ได้ใช้อุบายจัดหามาไว้ประกอบข้ออ้างอันเป็นความเท็จโดยไม่บอกให้โจทก์ร่วมรู้ว่าเรือลำนั้นเป็นของผู้อื่น มิใช่ชื่อเรือ ช. การที่โจทก์ร่วมถูกหลอกลวงหลงเชื่อจ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นค่าเรือไปโดยที่จำเลยไม่สามารถและไม่มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์เรือดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมจริงๆ เช่นนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฉ้อโกง มิใช่ฐานยักยอกเรือ เมื่อโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษฐานฉ้อโกงมา จึงลงโทษจำเลยฐานนี้ไม่ได้
เมื่อปรากฏว่าโจทก์ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในเรือของกลางซึ่งโจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกเอาไป ศาลก็พิจารณาสั่งคืนเรือของกลางให้แก่โจทก์ร่วมไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการหลอกลวงเอาทรัพย์สิน (เงินและกระสอบ) ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้ทรัพย์สินนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของอุบายหลอกลวง
จำเลยมิได้มีเจตนาจะนำแร่มาขายให้ผู้เสียหาย ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะขายแร่พลวงให้ และขอรับราคาค่าแร่ทั้งหมดกับขอรับกระสอบไปใส่แร่ด้วย โดยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกผลจากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยได้รับเงินค่าแร่และกระสอบ 30 ใบ ไปจากผู้เสียหายในคราวเดียวกัน ดังนี้แม้เงินค่าแร่จะเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญที่จำเลยมุ่งหมายหลอกลวงไปจากผู้เสียหาย ส่วนกระสอบนั้นจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งให้เพื่อให้สมกับอุบายของจำเลยที่อ้างว่ามีแร่ที่จะขายให้เท่านั้นก็ตาม แต่การที่จำเลยได้กระสอบไปด้วยนี้ ก็ได้ไปจากการหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจะใส่แร่พลวงมาส่งให้ โดยจำเลยมิได้ตั้งใจจะนำกระสอบไปใส่แร่พลวงมาส่งให้แก่ผู้เสียหายเลย แสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกแล้วว่าจะหลอกลวงเอากระสอบ 30 ใบนี้จากผู้เสียหายด้วยเหมือนกัน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงกระสอบด้วยส่วนการที่ผู้เสียหายเข้าใจว่าให้กระสอบแก่จำเลยไปในลักษณะเป็นการยืมใช้คงรูปนั้นก็เป็นความเข้าใจผิดของผู้เสียหายซึ่งถูกจำเลยหลอกลวงเพียงฝ่ายเดียวจำเลยหาได้ตั้งใจปฏิบัติตามที่ผู้เสียหายหลงเข้าใจอยู่ไม่ และการที่จำเลยได้กระสอบไปจากผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นการครอบครองอันได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงมิใช่การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานยักยอก (อ้างฎีกาที่ 345/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2147/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตตั้งแต่แรกในการหลอกลวงเอาทรัพย์สิน (เงินและกระสอบ) เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยมิได้มีเจตนาจะนำแร่มาขายให้ผู้เสียหาย ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะขายแร่พลวงให้ และขอรับราคาค่าแร่ทั้งหมดกับขอรับกระสอบไปใส่แร่ด้วย โดยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกผลจากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยได้รับเงินค่าแร่และกระสอบ 30 ใบ ไปจากผู้เสียหายในคราวเดียวกัน ดังนี้ แม้เงินค่าแร่จะเป็นทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญที่จำเลยมุ่งหมายหลอกลวงไปจากผู้เสียหาย ส่วนกระสอบนั้นจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งให้เพื่อให้สมกับอุบายของจำเลยที่อ้างว่ามีแร่ที่จะขายให้เท่านั้นก็ตาม แต่การที่จำเลยได้กระสอบไปด้วยนี้ ก็ได้ไปจากการหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจะใส่แร่พลวงมาส่งให้ โดยจำเลยมิได้ตั้งใจจะนำกระสอบไปใส่แร่พลวงมาส่งให้แก่ผู้เสียหายเลย แสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกแล้วว่าจะหลอกลวงเอากระสอบ 30 ใบนี้จากผู้เสียหายด้วยเหมือนกัน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงกระสอบด้วยส่วนการที่ผู้เสียหายเข้าใจว่าให้กระสอบแก่จำเลยไปในลักษณะเป็นการยืมใช้คงรูปนั้น ก็เป็นความเข้าใจผิดของผู้เสียหายซึ่งถูกจำเลยหลอกลวงเพียงฝ่ายเดียว จำเลยหาได้ตั้งใจปฏิบัติตามที่ผู้เสียหายหลงเข้าใจอยู่ไม่ และการที่จำเลยได้กระสอบไปจากผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นการครอบครองอันได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงมิใช่การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานยักยอก (อ้างฎีกาที่ 345/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลแขวงวินิจฉัย และหลักการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คดีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องและอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงวินิจฉัยมาแล้วเป็นหลักในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่เพียงพอ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใด ๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังเป็นยุติมาแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบแม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225, 208(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2024/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ในคดีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้อง
คดีที่ศาลแขวงพิพากษายกฟ้องและอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงวินิจฉัยมาแล้วเป็นหลักในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงตามที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่เพียงพอ ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงวินิจฉัยข้อเท็จจริงใดๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายได้การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังเป็นยุติมาแล้ว. จึงเป็นการวินิจฉัยที่มิชอบแม้จำเลยจะมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยและเป็นการจำเป็นที่จะต้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225,208(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์พิจารณาเจตนาทุจริตจำเลยแล้วยกฟ้องได้ แม้มีประเด็นอายุความ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลสั่งรับอุทธรณ์เรื่องอายุความข้อเดียวในการวินิจฉัยเรื่องอายุความนี้ ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาปรับกับบทกฎหมายว่าคดีขาดอายุความหรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตศาลอุทธรณ์ย่อมยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185, 215 เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามมาตรา 195 วรรคสองโจทก์จะฎีกาโต้แย้งว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้อง (อุทธรณ์) ย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1856/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นเจตนาทุจริตได้ แม้จำเลยอุทธรณ์เฉพาะเรื่องอายุความ เป็นเหตุให้ยกฟ้องได้ตามกฎหมายความสงบเรียบร้อย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลสั่งรับอุทธรณ์เรื่องอายุความข้อเดียวในการวินิจฉัยเรื่องอายุความนี้ ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาปรับกับบทกฎหมายว่าคดีขาดอายุความหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ศาลอุทธรณ์ย่อมยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นเป็นเหตุยกฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185,215 เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตามมาตรา 195 วรรคสองโจทก์จะฎีกาโต้แย้งว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้อง (อุทธรณ์) ย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพนักงานรัฐยักยอกเงินและปลอมเอกสารสิทธิ การปรับบทความผิดให้ถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยเป็นพนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอันเป็นองค์การของรัฐ ใช้อำนาจในหน้าที่เบียดบังยักยอกเอาเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยรับไว้โดยทุจริต ย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 เพียงมาตราเดียวไม่ผิดตามมาตรา 8 ด้วย เพราะเป็นการเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์ มิใช่อาศัยหน้าที่หาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเบียดบังเอาทรัพย์ และกรณีดังกล่าวไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
ใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ถูกทำปลอมขึ้น เพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง อันอาจนำไปเรียกเก็บเงินซ้ำอีกได้นั้น แม้จะมิได้มีการลงชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินว่าได้รับเงินไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมเป็นเอกสารสิทธิแต่มิใช่เอกสารราชการ จำเลยผู้ทำปลอมขึ้นต้องมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามมาตรา 266 และกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1614/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพนักงานรัฐยักยอกเงินและการปลอมเอกสารสิทธิ: การปรับบทความผิดให้ถูกต้อง
จำเลยเป็นพนักงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอันเป็นองค์การของรัฐ ใช้อำนาจในหน้าที่เบียดบังยักยอกเอาเงินค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยรับไว้โดยทุจริต ย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 เพียงมาตราเดียว ไม่ผิดตามมาตรา 8ด้วย เพราะเป็นการเบียดบังตัวทรัพย์ที่อยู่ในหน้าที่ไว้เป็นประโยชน์ มิใช่อาศัยหน้าที่หาประโยชน์อื่นนอกเหนือจากการเบียดบังเอาทรัพย์ และกรณีดังกล่าวไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 อีก
ใบเสร็จรับเงินของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ถูกทำปลอมขึ้นเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริง อันอาจนำไปเรียกเก็บเงินซ้ำอีกได้นั้น แม้จะมิได้มีการลงชื่อในช่องพนักงานเก็บเงินว่าได้รับเงินไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม ย่อมเป็นเอกสารสิทธิ แต่มิใช่เอกสารราชการ จำเลยผู้ทำปลอมขึ้นต้องมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดตามมาตรา 266 และกรณีไม่จำต้องปรับบทด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ตัวแทนครอบครองทรัพย์สินแทนตัวการ ยักยอกทรัพย์เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คู่ความอาจยกขึ้นอ้างได้ในชั้นฎีกา
จำเลยทำงานอยู่กับโจทก์ร่วม โดยโจทก์ร่วมให้จำเลยเป็นผู้ติดต่อและเก็บเงินจากลูกค้า จำเลยรับเช็คของลูกค้าโจทก์ร่วมมาในฐานะเป็นผู้รับชำระหนี้แทนโจทก์ร่วม มิใช่ในหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายจากฝ่ายลูกค้า จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองเช็คของโจทก์ร่วมในฐานะตัวแทน มีหน้าที่ต้องนำเช็คหรือเงินตามเช็คนั้นส่งให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อจำเลยนำเช็คไปเบิกเงินจากธนาคารและเบียดบังเอาไว้โดยทุจริตโจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจร้องทุกข์และฟ้องจำเลยได้และการกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 353 เพราะจำเลยมิได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของโจทก์ร่วม
of 93