พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอาญา: ศาลอนุญาตได้หากไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ แม้เพิ่มเติมรายละเอียดหรือฐานความผิด
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยไปไถ่จำนองที่ดินของโจทก์จากนางประหยัดสุวเทพ เพื่อจะได้นำไปค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยจากธนาคาร แต่จำเลยบังอาจทุจริตนำที่ดินโจทก์ซึ่งไถ่จำนองแล้วไปขายให้นายวรเทพ ลิ้มรสสุขแล้วเบียดบังเอาเงินค่าขายไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอแก้ฟ้องจากข้อความที่ว่า'ให้ไปไถ่จำนองที่ดินจากนางประหยัด สุวเทพ เพื่อจำเลยจะได้นำที่ดินแปลงนี้ไปค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้มาจากธนาคารในวงเงินไม่เกิน 375,500 บาท' เป็นว่า 'ให้นำที่ดิน แปลงนี้ไปจำนองกับธนาคารในวงเงินไม่เกิน 375,500 บาท เพื่อนำเงินจำนวนนี้ไปไถ่จำนองที่ดินแปลงนี้จากนางประหยัด สุวเทพและจากข้อความที่ว่า 'โดยเจตนาทุจริต จำเลยได้บังอาจร่วมกันเบียดบังเอาที่ดินดังกล่าวไปโอนขายให้นายวรเทพ ลิ้มรสสุขแล้วเอาเงินที่ขายได้เป็นประโยชน์ของจำเลยเสีย เป็นว่า'จำเลยได้บังอาจมีเจตนาทุจริตร่วมกันไปไถ่จำนองที่ดินดังกล่าวจากธนาคารและนำไปโอนขายให้นายวรเทพ ลิ้มรสสุข แล้วจำเลยมีเจตนาทุจริตร่วมกันเบียดบังยักยอกเอาเงินที่ขายได้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเสีย' ดังนี้ ข้อความที่ขอแก้คงมีผลตรงกันกับฟ้องเดิมในใจความสำคัญไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องก็เป็นเพียงเรียกการกระทำให้ชัดขึ้น รวมทั้งการเพิ่มเติมบทลงโทษก็หาทำให้จำเลยหลงต่อสู้ไม่ จึงไม่อาจถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบเช่นกัน โจทก์ชอบที่จะขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอาญาต้องไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ แม้เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดหรือฐานความผิดใหม่
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยไปไถ่จำนองที่ดินของโจทก์จากนางประหยัดสุวเทพ เพื่อจะได้นำไปค้ำประกันหนี้เงินกู้ของจำเลยจากธนาคาร แต่จำเลยบังอาจทุจริตนำที่ดินโจทก์ซึ่งไถ่จำนองแล้วไปขายให้นายวรเทพ ลิ้มรสสุขแล้วเบียดบังเอาเงินค่าขายไว้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสียขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอแก้ฟ้องจากข้อความที่ว่า 'ให้ไปไถ่จำนองที่ดินจากนางประหยัด สุวเทพ เพื่อจำเลยจะได้นำที่ดินแปลงนี้ไปค้ำประกันเงินกู้ที่จำเลยกู้มาจากธนาคารในวงเงินไม่เกิน 375,500 บาท' เป็นว่า 'ให้นำที่ดินแปลงนี้ไปจำนองกับธนาคารในวงเงินไม่เกิน 375,500 บาท เพื่อนำเงินจำนวนนี้ไปไถ่จำนองที่ดินแปลงนี้จากนางประหยัดสุวเทพ และจากข้อความที่ว่า 'โดยเจตนาทุจริต จำเลยได้บังอาจร่วมกันเบียดบังเอาที่ดินดังกล่าวไปโอนขายให้นายวรเทพ ลิ้มรสสุขแล้วเอาเงินที่ขายได้เป็นประโยชน์ของจำเลยเสีย เป็นว่า 'จำเลยได้บังอาจมีเจตนาทุจริตร่วมกันไปไถ่จำนองที่ดินดังกล่าวจากธนาคารและนำไปโอนขายให้นายวรเทพ ลิ้มรสสุข แล้วจำเลยมีเจตนาทุจริตร่วมกันเบียดบังยักยอกเอาเงินที่ขายได้ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเสีย' ดังนี้ ข้อความที่ขอแก้คงมีผลตรงกันกับฟ้องเดิมในใจความสำคัญไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบแต่อย่างใด ส่วนที่โจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องก็เป็นเพียงเรียกการกระทำให้ชัดขึ้น รวมทั้งการเพิ่มเติมบทลงโทษ ก็หาทำให้จำเลยหลงต่อสู้ไม่ จึงไม่อาจถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบเช่นกัน โจทก์ชอบที่จะขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2343/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของผู้จัดการสมาคม: อำนาจจัดการทรัพย์สินเป็นสำคัญ
จำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการสมาคมชาวจีนไหหลำแห่งภาคใต้มีหน้าที่เขียนแจ้งคำบอกกล่าวสมาชิก เขียนใบรับเงิน ลงนามรับเงินในใบรับเงินเก็บเงิน รับเงินและออกใบรับเงินต่าง ๆ จำเลยได้รับเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกเงินบำรุงและค่ามรณะสงเคราะห์ฌาปนกิจไว้หลายคราวแล้ว จำเลยยักยอกเงินนั้นบางส่วนเช่นนี้เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หลายกรรม แต่ละกรรมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 บทเดียว ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 353 เพราะแม้จำเลยจะเป็นผู้เก็บรักษาเงิน แต่จำเลยก็ไม่มีอำนาจจัดการกับเงินนั้น และสมาคมนี้มีสมาชิกเฉพาะชาวจีนไหหลำจำเลยเป็นผู้จัดการสมาคมนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้มีอาชีพอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามมาตรา 354
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2343/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของผู้จัดการสมาคม: อำนาจจัดการทรัพย์สินและฐานะผู้มีอาชีพที่ไว้วางใจ
จำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการสมาคมชาวจีนไหหลำแห่งภาคใต้มีหน้าที่เขียนแจ้งคำบอกกล่าวสมาชิก เขียนใบรับเงิน ลงนามรับเงินในใบรับเงินเก็บเงิน รับเงินและออกใบรับเงินต่าง ๆ จำเลยได้รับเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกเงินบำรุงและค่ามรณะสงเคราะห์ฌาปนกิจไว้หลายคราวแล้ว จำเลยยักยอกเงินนั้นบางส่วนเช่นนี้เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หลายกรรม แต่ละกรรมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 บทเดียว ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 353 เพราะแม้จำเลยจะเป็นผู้เก็บรักษาเงิน แต่จำเลยก็ไม่มีอำนาจจัดการกับเงินนั้น และสมาคมนี้มีสมาชิกเฉพาะชาวจีนไหหลำ จำเลยเป็นผู้จัดการสมาคมนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้มีอาชีพอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามมาตรา 354
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1924-1925/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ vs ยักยอก: การครอบครองทรัพย์ของลูกจ้าง และเจตนาในการกระทำผิด
การที่เจ้าของเรือให้จำเลยกับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างนำเรือพร้อมทั้งอวนและสิ่งของเครื่องใช้ไปจับปลาในทะเลในระยะเวลา 2 วัน เมื่อจับปลาเสร็จก็ต้องนำเรือกลับมามอบให้แก่เจ้าของเรือเป็นกิจวัตรในการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้าง ดังนี้ การครอบครองเรือพร้อมทั้งอวนและเครื่องใช้จึงอยู่ในความครอบครองของนายจ้างเจ้าของทรัพย์ เมื่อจำเลยได้เอาเรือและอวน สิ่งของเครื่องใช้ไปซุกซ่อนแล้วบอกขายโดยเจตนาทุจริต จึงเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่รับของโจร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1924-1925/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์เรือและฐานความผิดจากการทำร้ายร่างกายเพื่อปกปิดความผิด ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
การที่เจ้าของเรือให้จำเลยกับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างนำเรือพร้อมทั้งอวนและสิ่งของเครื่องใช้ไปจับปลาในทะเลในระยะเวลา 2 วัน เมื่อจับปลาเสร็จก็ต้องนำเรือกลับมามอบให้แก่เจ้าของเรือเป็นกิจวัตรในการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้าง ดังนี้ การครอบครองเรือพร้อมทั้งอวนและเครื่องใช้จึงอยู่ในความครอบครองของนายจ้างเจ้าของทรัพย์เมื่อจำเลยได้เอาเรือและอวน สิ่งของเครื่องใช้ไปซุกซ่อนแล้วบอกขายโดยเจตนาทุจริต จึงเป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่รับของโจร
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: ความยึดถือในทรัพย์สินของผู้เสียหายยังไม่ขาดตอน แม้ทรัพย์สินจะตกหล่น
ผู้เสียหายกับคณะกลองยาวไปวัดในพิธีอุปสมบท คณะกลองยาวเล่นกลองยาวบนศาลาอยู่กับผู้เสียหายและญาติ ต่อมาคณะกลองยาวก็ลงจากศาลาประโคมกลองยาวนำหน้านาค โดยมีผู้เสียหายเดินตามไปผู้เสียหายไปได้ 2 เส้น รู้สึกตัวว่าสายสร้อยข้อมือทองคำหายจึงกลับขึ้นไปหาบนศาลา ปรากฏว่า ส. อายุไม่เกิน 7 ปี เก็บสร้อยนั้นได้บนศาลาแล้วเอาไปให้จำเลยที่ 2 อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยที่ 2 เอาไปให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาที่ข้างศาลาในเวลากระชั้นชิดกัน จำเลยที่ 1 เอาสร้อยห่อพกออกจากวัดไปทันที เมื่อผู้เสียหายไปสอบถาม จำเลยที่ 1 ว่าไม่รู้เห็น พฤติการณ์เช่นนี้ถือว่าสร้อยนั้นยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย ไม่ใช่ทรัพย์ตกหาย จำเลยที่ 1 น่าจะทราบว่าทรัพย์นั้นเป็นของพวกที่มาในคณะกลองยาวและเจ้าของจะติดตามเอาคืนจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วน ส. และจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่มีความผิด
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์: ความยึดถือในทรัพย์สินของผู้เสียหายยังไม่ขาดตอน แม้มีผู้เก็บทรัพย์ได้ก่อน
ผู้เสียหายกับคณะกลองยาวไปวัดในพิธีอุปสมบท คณะกลองยาวเล่นกลองยาวบนศาลาอยู่กับผู้เสียหายและญาติ ต่อมาคณะกลองยาวก็ลงจากศาลาประโคมกลองยาวนำหน้านาค โดยมีผู้เสียหายเดินตามไปผู้เสียหายไปได้ 2 เส้น รู้สึกตัวว่าสายสร้อยข้อมือทองคำหายจึงกลับขึ้นไปหาบนศาลา ปรากฏว่า ส. อายุไม่เกิน 7 ปี เก็บสร้อยนั้นได้บนศาลาแล้วเอาไปให้จำเลยที่ 2 อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นพี่สาวจำเลยที่ 2 เอาไปให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาที่ข้างศาลาในเวลากระชั้นชิดกัน จำเลยที่ 1 เอาสร้อยห่อพกออกจากวัดไปทันที เมื่อผู้เสียหายไปสอบถาม จำเลยที่ 1ว่าไม่รู้เห็น พฤติการณ์เช่นนี้ถือว่าสร้อยนั้นยังอยู่ในความยึดถือของผู้เสียหาย ไม่ใช่ทรัพย์ตกหาย จำเลยที่ 1 น่าจะทราบว่าทรัพย์นั้นเป็นของพวกที่มาในคณะกลองยาวและเจ้าของจะติดตามเอาคืน จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วน ส. และจำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่มีความผิด
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องฐานยักยอกที่ไม่ชัดเจน การระบุการกระทำผิดต้องเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหา
คำบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2511 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2512 เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยบังอาจเบียดบังยักยอกเอาเครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อชาร์ป ราคา 2,200 บาทของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยเช่าจากโจทก์ไปเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวโดยเจตนาทุจริต ...ฯลฯ... ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่มิได้บรรยายการกระทำของจำเลยให้ชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างใดที่โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกมาพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่ชัดเจนการกระทำความผิดฐานยักยอก ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา ศาลยกฟ้อง
คำบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2511 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2512 เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยบังอาจเบียดบังยักยอกเอาเครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อชาร์ป ราคา 2,200 บาทของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยเช่าจากโจทก์ไปเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวโดยเจตนาทุจริต ...ฯลฯ... ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่มิได้บรรยายการกระทำของจำเลยให้ชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างใดที่โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกมาพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)