คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 352

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 924 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยักยอกทรัพย์ที่เก็บได้: การกระทำโดยเข้าใจว่าเป็นของหาย กับความผิดฐานยักยอก
ผู้เสียหายนั่งยองๆ ซื้อของ เอาถุงเงินวางไว้ในตัก พอซื้อเสร็จก็ลุกขึ้นไปไปได้ประมาณ 4 วา นึกถึงถุงเงินได้ เข้าใจว่าตกลงที่นั่งซื้อของจึงกลับมาถามและหาตามบริเวณนั้น แต่ไม่พบ ขณะผู้เสียหายทำถุงเงินตกนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยอยู่ตรงไหน เห็นผู้เสียหายทำถุงเงินตกหรือไม่ ขณะนั้นประชาชนมาจ่ายตลาดมาก จำเลยเห็นถุงนั้นตกอยู่ไม่ทราบว่าเป็นของใครจึงเก็บเอาไปเป็นของตน โดยเข้าใจว่าเป็นของที่เจ้าของทำตกหายจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยักยอกทรัพย์ที่เก็บได้: การกระทำโดยเข้าใจว่าเป็นของตกหล่น ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์
ผู้เสียหายนั่งยอง ๆ ซื้อของ เอาถุงเงินวางไว้ในตัก พอซื้อเสร็จก็ลุกขึ้นไป ไปได้ประมาณ 4 วา นึกถึงถุงเงินได้ เข้าใจว่าตกลงที่นั่งซื้อของจึงกลับมาถามและหาตามบริเวณนั้น แต่ไม่พบ ขณะผู้เสียหายทำถุงเงินตกนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยอยู่ตรงไหน เห็นผู้เสียหายทำถุงเงินตกหรือไม่ ขณะนั้นประชาชนมาจ่ายตลาดมาก จำเลยเห็นถุงนั้นตกอยู่ไม่ทราบว่าเป็นของใครจึงเก็บเอาไปเป็นของตนโดยเข้าใจว่าเป็นของที่เจ้าของทำตกหาย จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรค 2

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากการปล่อยปละละเลยฟ้องคดีเอง ไม่ถือเป็นการละเมิดของเจ้าพนักงานสอบสวน
พนักงานสอบสวนรับแจ้งความคดียักยอกทรัพย์ของโจทก์ไว้แล้วปล่อยปละละเลยมิได้ดำเนินการสอบสวนให้เสร็จจนคดีขาดอายุความฟ้องร้อง แต่โจทก์ซึ่งมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องร้องผู้ยักยอกได้เองทั้งทางอาญาและทางแพ่งก็ มิได้ฟ้องร้องผู้ยักยอกจนคดีขาดอายุความ ดังนี้ หากโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีไว้แล้ว ความเสียหายย่อมไม่เกิดขึ้น ความเสียหายของโจทก์จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย กรณีของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากอายุความคดีอาญา: โจทก์มีสิทธิฟ้องเองแต่ละเลยไม่ฟ้อง ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด
พนักงานสอบสวนรับแจ้งความคดียักยอกทรัพย์ของโจทก์ไว้แล้วปล่อยปละละเลยมิได้ดำเนินการสอบสวนให้เสร็จจนคดีขาดอายุความฟ้องร้อง แต่โจทก์ซึ่งมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องร้องผู้ยักยอกได้เองทั้งทางอาญาและทางแพ่งก็มิได้ฟ้องร้องผู้ยักยอกจนคดีขาดอายุความ ดังนี้ หากโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีไว้แล้ว ความเสียหายย่อมไม่เกิดขึ้น ความเสียหายของโจทก์จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย กรณีของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาไกล่เกลี่ยความผิดต่อส่วนตัว ย่อมระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาได้
ผู้เสียหายเคยฝากข้าวเปลือกให้จำเลยสีเป็นข้าวสาร จำเลยก็สีให้ โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทน ต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยสีข้าวเปลือกอีก จำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวเสีย ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีพนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย แต่ไม่ตกลงกัน ต่อมานายอำเภอได้ไกล่เกลี่ยอีกผู้เสียหายและจำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยจำเลยเอารถยนต์ 1 คันจำนองผู้เสียหายและจะนำข้าวสารไปไถ่ถอนการจำนองเป็นรายเดือนจนกว่าจะครบ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์และใบทะเบียนให้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่มีต่อกันจนเกิดพิพาทและทำสัญญาต่อกันแล้วจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาททั้งในทางแพ่งและอาญา ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าให้คดีอาญาระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาโดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาทางอาญาระงับไป คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาระงับข้อพิพาทอาญา ความผิดต่อส่วนตัว ย่อมทำให้สิทธิฟ้องระงับได้
ผู้เสียหายเคยฝากข้าวเปลือกให้จำเลยสีเป็นข้าวสาร จำเลยก็สีให้ โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทนต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยสีข้าวเปลือกอีก จำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวเสีย ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย แต่ไม่ตกลงกัน ต่อมานายอำเภอได้ไกล่เกลี่ยอีก ผู้เสียหายและจำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยจำเลยเอารถยนต์ 1 คันจำนอง ผู้เสียหายและจะนำข้าวสารไปไถ่ถอนการจำนองเป็นรายเดือนจนกว่าจะครบ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์และใบทะเบียนให้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่มีต่อกันจนเกิดพิพาทและทำสัญญาต่อกันแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาททั้งในทางแพ่งและอาญา ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่ให้คดีอาญาระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาโดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาทางอาญาระงับไป คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องอาญาที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกยักยอก ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา และศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอมเงินประเภทต่าง ๆ ไป มิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใด ยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ไม่ปรากฏว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตรวจพบอะไร บรรยายว่าได้เบียดบังยักยอกเงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ก็ไม่มีทางทราบว่าจำเลยยักยอกอะไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158
(อ้างฎีกาที่ 175/2497)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาไม่ชอบ หากไม่ระบุรายละเอียดทรัพย์สินที่ถูกยักยอกอย่างชัดเจน ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอกเงินประเภทต่างๆไป มิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใดยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ไม่ปรากฏว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตรวจพบอะไรบรรยายว่าได้เบียดบังยักยอกเงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ ก็ไม่มีทางทราบว่าจำเลยยักยอกอะไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างฎีกาที่ 175/2497)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีละเมิดและเรียกคืนทรัพย์สิน ยักยอกเงินไม่ใช่การปลอมเอกสาร
กรมป่าไม้ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอมเอาเงินไป ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปตามลำพังแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาโจทก์กลับอ้างอีกว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไป จะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วย ข้ออ้างดังนี้ ย่อมเป็นการนอกประเด็น
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงิน ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไป ปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้ว คดียังไม่ถึงที่สุด ต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากาายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแลปงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์ จึงมีความผิดฐานปลอมแลงเอกสารราชการเท่านั้น ดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยักยอกเงิน จะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 51 วรรค 2 บัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วย คดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพาษกยกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไป แล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรค 4
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานะละเมิด ซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีแพ่งจากการยักยอกทรัพย์: การสะดุดหยุด และข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
กรมป่าไม้ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกเอาเงินไป ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปตามลำพังแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาโจทก์กลับอ้างอีกว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไปจะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วย ข้ออ้างดังนี้ย่อมเป็นการนอกประเด็น
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงินขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไปปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้วคดียังไม่ถึงที่สุดต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแปลงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานยักยอกก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์จึงมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการเท่านั้นดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยยักยอกเงินจะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วยคดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพากษายกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรคสี่
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิดซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383
of 93