พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2511/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง: การพิจารณาความผิดกรรมเดียวและการริบของกลาง
แม้เฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนจะเป็นยาเสพติดให้โทษคนละชนิดกัน แต่ต่างเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภทที่ 1 ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นยึดเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนได้ในสถานที่และเวลาเดียวกัน แสดงว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองด้วยกัน การที่โจทก์บรรยายฟ้องการกระทำความผิดของจำเลยเกี่ยวกับเฮโรอีนและแอมเฟตามีนแยกเป็น ข้อ ก และ ข้อ ข ก็ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดของจำเลยแยกเป็นสองกรรมต่างกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว
มีดคัทเตอร์4เล่มและไฟแช็กแก๊ส 6 อัน ของกลาง ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพยาเสพติดให้โทษมาด้วย กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
มีดคัทเตอร์4เล่มและไฟแช็กแก๊ส 6 อัน ของกลาง ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ หรือวัตถุอื่นหรือทรัพย์สินซึ่งจำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนและเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งโจทก์ก็มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพยาเสพติดให้โทษมาด้วย กรณีจึงไม่อาจริบของกลางดังกล่าวได้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาในคดีพยายามฆ่า: การพิสูจน์อาการทางจิตที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับผิด
เอกสารที่จำเลยนำมาแสดงอ้างว่าตนเป็นโรคประสาทเคยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีธัญญานั้น เป็นเพียงบัตรประจำตัวคนไข้ จำเลยมิได้นำแพทย์ผู้ตรวจรักษามายืนยันว่าตนป่วยเป็นโรคประสาทจนถึงขนาดกระทำการโดยไม่รู้สึกตัวทั้งในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยว่าพยายามฆ่า จำเลยให้การปฏิเสธซึ่งจำเลยเข้าใจคำถามและตอบคำถามได้เหมือนคนปกติส่วนที่แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลของจำเลยระบุว่าจำเลยมีอาการเบลอ ๆ ไม่ค่อยได้สตินั้นอาจเกิดจากการที่จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนมาก่อนเกิดเหตุจนมีอาการมึนเมาก็เป็นได้ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าขณะจำเลยกระทำความผิด จำเลยมีอาการทางจิตประสาทไม่รู้สึกตัวและไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและช่วยเหลือให้คนร้ายหลบหนี ศาลรับฟังพยานหลักฐานประกอบบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนได้
แม้โจทก์ไม่ได้ตัวพยานในชั้นสอบสวนมาเบิกความในชั้นพิจารณาก็ตาม แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามมิให้รับฟังบันทึกคำให้การชั้นสอบสวน เมื่อไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การของพยานไว้ไม่ถูกต้อง จึงรับฟังบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของพยานประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
คนร้ายเดินเข้าไปชำระค่าโดยสารให้แก่ผู้ตาย แล้วได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที เกิดเหตุแล้วคนร้ายกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่มาจอดเทียบ โดยจำเลยเตรียมรถจักรยานยนต์ขับตามรถยนต์โดยสารสองแถวที่ผู้ตายขับมาเพื่อรับคนร้ายหลบหนี อันเป็นการวางแผนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งรวมถึงแผนในการหลบหนีด้วย รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับคนร้ายที่หลบหนีกระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 289 (4), 83
ธนบัตรของกลางที่คนร้ายส่งให้แก่ผู้ตายเป็นค่าโดยสารก่อนที่ผู้ตายถูกยิง กับหมวกนิรภัยที่จำเลยสวมขณะเกิดเหตุอันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 122 โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นชัดว่าจำเลยมีเจตนาสวมเพื่อปกปิดใบหน้าในการกระทำผิด ธนบัตรและหมวกนิรภัยของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) โดยตรง
คนร้ายเดินเข้าไปชำระค่าโดยสารให้แก่ผู้ตาย แล้วได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที เกิดเหตุแล้วคนร้ายกระโดดขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่มาจอดเทียบ โดยจำเลยเตรียมรถจักรยานยนต์ขับตามรถยนต์โดยสารสองแถวที่ผู้ตายขับมาเพื่อรับคนร้ายหลบหนี อันเป็นการวางแผนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งรวมถึงแผนในการหลบหนีด้วย รับฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับคนร้ายที่หลบหนีกระทำความผิดตามป.อ. มาตรา 289 (4), 83
ธนบัตรของกลางที่คนร้ายส่งให้แก่ผู้ตายเป็นค่าโดยสารก่อนที่ผู้ตายถูกยิง กับหมวกนิรภัยที่จำเลยสวมขณะเกิดเหตุอันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 122 โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นชัดว่าจำเลยมีเจตนาสวมเพื่อปกปิดใบหน้าในการกระทำผิด ธนบัตรและหมวกนิรภัยของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) โดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เห็นเหตุการณ์ โดยพิจารณาจากสภาพแวดล้อมและระยะเวลาในการเกิดเหตุ
แม้ขณะเกิดเหตุจะเป็นเวลาดึกสงัดและมีฝนตกพรำ ๆ แต่ที่เกิดเหตุอยู่บนถนนที่ใช้สำหรับสัญจร ตามสภาพย่อมเป็นที่โล่งผู้เสียหายที่ 2 สามารถเห็นจำเลยได้โดยอาศัยแสงสว่างจากไฟหน้ารถจักรยานยนต์ ทั้งในคืนเกิดเหตุมีแสงจันทร์มองเห็นได้ชัดในระยะเมตรเศษและผู้เสียหายที่ 2 มิได้ถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าคงอุ้มบุตรนั่งดูคนร้ายขณะปลดทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสอง จากพฤติการณ์ของคนร้ายที่เข้ามาจับแฮนด์รถจักรยานยนต์ ใช้อาวุธปืนและมีดจี้ผู้เสียหายทั้งสองปลดเอาทรัพย์สินไป ทั้งใช้ผ้าขาวม้ามัดผู้เสียหายทั้งสองก่อนจะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไปคนร้ายต้องเข้ามาประชิดอยู่ใกล้ ๆ กับผู้เสียหายทั้งสองและใช้เวลานานพอสมควร โอกาสที่ผู้เสียหายที่ 2 จะเห็นและจำหน้าคนร้ายได้ย่อมมีมาก โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 2 รู้จักจำเลยเป็นอย่างดี จึงย่อมสามารถสังเกตและจดจำจำเลยได้โดยง่ายและแม่นยำแม้ว่าจำเลยจะสวมหมวกไหมพรมแบบไอ้โม่งชนิดที่เห็นตาก็ตาม แต่สภาพของหมวกดังกล่าวเมื่อมีช่องให้ตามองเห็น ย่อมทำให้มีช่องว่างให้เห็นหน้าบางส่วน ทั้งหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 ก็บอกผู้เสียหายที่ 1 ทันทีว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมปล้นทรัพย์ จากนั้นยังไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟังอีกว่าคนร้ายคือจำเลย และในวันรุ่งขึ้นก็ไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยเป็นคนร้าย เมื่อจับจำเลยได้แล้วยังชี้ตัวยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมปล้นทรัพย์ เมื่อผู้เสียหายที่ 2รู้จักจำเลยเป็นอย่างดีโดยเป็นญาติกันและไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนย่อมไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะมีเวลาคิดเสริมแต่งเรื่องขึ้นมาทันทีหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยว่าจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้าย ทั้งไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยซึ่งเป็นญาติกันโดยไม่มีมูลความจริง กรณีจึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันหลอกลวงจัดหางาน: จำเลยเพียงโอ้อวดความสามารถบุตรเขย ไม่ร่วมวางแผนหลอกลวง
จำเลยที่ 1 เป็นคนชนบท มีอาชีพทำนา ถ้ามีบุตรหลานหรือญาติพี่น้องเป็นคนมีฐานะ มีความรู้ความสามารถหรือมีหน้าที่การงานดีย่อมจะทำให้จำเลยที่ 1 พลอยมีหน้ามีตา ส. เป็นคนกรุงเทพมหานครเพิ่งจะแต่งงานเป็นบุตรเขยจำเลยที่ 1 ได้ประมาณ 2 เดือนเศษ เมื่อ ส. มาเยี่ยมและอ้างว่าสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศได้ จำเลยที่ 1ย่อมจะชื่นชมยินดีและอยากโอ้อวดให้บุคคลอื่นทราบ การที่จำเลยที่ 1พูดเรื่องไปทำงานในต่างประเทศให้ผู้เสียหายทั้งห้าและบุคคลทั่ว ๆ ไปว่าผู้ใดอยากไปทำงานต่างประเทศให้ไปพบ ส. ที่บ้านจำเลยที่ 1ก็เป็นถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่ต้องการจะโอ้อวดให้ผู้อื่นรู้ว่า ส. มีความรู้ความสามารถส่งคนไปทำงานในต่างประเทศได้เท่านั้นส่วนที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรไปบอกให้ผู้เสียหายทั้งห้านำเงินไปชำระแก่ ส. และพูดขึ้นว่าเงินแค่นี้ ส. ไม่โกง ถ้าโกงก็คงโกงมากกว่านี้นั้น ก็ได้ความว่านอกจากจำเลยทั้งสองแล้ว ส. ไม่รู้จักใครจึงติดต่อประสานกับผู้เสียหายทั้งห้า นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งจะไปทำงานเช่นเดียวกับผู้เสียหายทั้งห้าก็ถูก ส. หลอกเอาเงินเช่นกัน โดยจำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายทั้งห้าตลอดจนไม่ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการติดต่อและประเทศที่จะส่งคนหางานไปทำงาน การที่จำเลยที่ 1 ยอมให้ ส. ใช้บ้านของตนเป็นสถานที่ติดต่อพูดคุยกับผู้เสียหายทั้งห้าซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับ ส. หลอกลวงผู้เสียหายทั้งห้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีส่วนร่วมในความผิดพยายามฆ่า แม้จะร่วมกันชิงทรัพย์และทราบว่าคู่กรณีมีอาวุธ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ขอให้ยกฟ้องหรือลงโทษในสถานเบา ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้เฉพาะในเรื่องที่ขอให้ลงโทษสถานเบา ส่วนอุทธรณ์ที่ขอให้ยกฟ้องไม่รับวินิจฉัยเพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงถือว่าปัญหาข้อนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาเป็นความผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
หลังจากจำเลยกับ จ. ร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย จ. ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพากันหลบหนีไป ผู้เสียหายขับรถยนต์กระบะติดตามจำเลยกับ จ. ไปในระยะห่างประมาณ 100 เมตร จ. ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไป 2 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด แม้จำเลยจะทราบว่า จ. มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแต่จำเลยก็ไม่มีอาวุธปืนติดตัวไปต่างหากขณะที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ไม่มีโอกาสที่จะรู้เห็นถึงการกระทำของ จ. ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือกระทำการใด ๆ อันอาจถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย การที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการกระทำของ จ. ตามลำพังอันเป็นการตัดสินใจของ จ. โดยฉับพลันในขณะนั้นเอง ถือไม่ได้ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย
หลังจากจำเลยกับ จ. ร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย จ. ขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับพากันหลบหนีไป ผู้เสียหายขับรถยนต์กระบะติดตามจำเลยกับ จ. ไปในระยะห่างประมาณ 100 เมตร จ. ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไป 2 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้ใด แม้จำเลยจะทราบว่า จ. มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยแต่จำเลยก็ไม่มีอาวุธปืนติดตัวไปต่างหากขณะที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายจำเลยกำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ไม่มีโอกาสที่จะรู้เห็นถึงการกระทำของ จ. ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือกระทำการใด ๆ อันอาจถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย การที่ จ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเป็นการกระทำของ จ. ตามลำพังอันเป็นการตัดสินใจของ จ. โดยฉับพลันในขณะนั้นเอง ถือไม่ได้ว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมกับ จ. ในการพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 785/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การพาดหัวข่าวที่เป็นเท็จสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง
ในทางพิจารณาของโจทก์และจำเลยไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยถูกจับกุมสอบสวนหรือดำเนินคดี ฉะนั้น การพาดหัวข่าวทางหนังสือพิมพ์ ด. รายสัปดาห์ ในหน้าแรกพร้อมภาพใบหน้าของโจทก์มีข้อความว่า "ลับ ชี้สำนวนความผิดจับ "ธ"(ซึ่งหมายถึงโจทก์)" ย่อมทำให้ผู้อ่านโดยทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์ถูกจับกุมสอบสวนดำเนินคดีซึ่งมิใช่ข้อความจริง ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชังได้
โจทก์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเป็นประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีมติให้กล่าวโทษดำเนินคดีแก่ ส. กับพวก ซึ่งในวันที่มีมติโจทก์ก็เข้าร่วมประชุมในฐานะประธานด้วย ดังนั้น โจทก์ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบว่ามติดังกล่าวเป็นเรื่องของคณะกรรมการไม่เกี่ยวกับโจทก์ได้ แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์กับ ส. ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน และฝ่ายตรวจสอบของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ติดตามตรวจสอบการปั่นหุ้นของกลุ่มอื่น ๆ นอกเหนือจากกลุ่มของ ส.ด้วยไม่ใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่มของส. เพียงกลุ่มเดียวแสดงว่าการกล่าวโทษร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ ส. มิใช่การกระทำที่ลำเอียงหรือเลือกปฏิบัติ ฉะนั้น การที่จำเลยเสนอข่าวว่าโจทก์ให้ดำเนินคดีจับ ส.พร้อมยัดข้อหาเป็นการใช้อำนาจทำเพื่อเพื่อน ซึ่งเป็นการปฏิบัติโดยลำเอียง ย่อมทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและไม่มีคุณธรรมเลือกปฏิบัติมุ่งช่วยเหลือพวกพ้อง ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลยมิใช่การติชมด้วยความเป็นธรรมหรือเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต
จำเลยต้องรับผิดในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือพิมพ์ ด. รายสัปดาห์ โดยที่จำเลยมิได้เป็นผู้ประพันธ์ข้อความ หนังสือพิมพ์ดังกล่าวมักเสนอข่าวใหญ่เกี่ยวกับธุรกิจและออกเป็นรายสัปดาห์ซึ่งมีผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม การให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาทั้งในหนังสือพิมพ์ประเภททั่วไปและธุรกิจ ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ย่อมไม่เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลย สมควรให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ ด.รายสัปดาห์และหนังสือพิมพ์ ผ. รายสัปดาห์ เพียง 2 ฉบับ
โจทก์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเป็นประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์มีมติให้กล่าวโทษดำเนินคดีแก่ ส. กับพวก ซึ่งในวันที่มีมติโจทก์ก็เข้าร่วมประชุมในฐานะประธานด้วย ดังนั้น โจทก์ย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบว่ามติดังกล่าวเป็นเรื่องของคณะกรรมการไม่เกี่ยวกับโจทก์ได้ แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์กับ ส. ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน และฝ่ายตรวจสอบของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้ติดตามตรวจสอบการปั่นหุ้นของกลุ่มอื่น ๆ นอกเหนือจากกลุ่มของ ส.ด้วยไม่ใช่เลือกปฏิบัติเฉพาะกลุ่มของส. เพียงกลุ่มเดียวแสดงว่าการกล่าวโทษร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ ส. มิใช่การกระทำที่ลำเอียงหรือเลือกปฏิบัติ ฉะนั้น การที่จำเลยเสนอข่าวว่าโจทก์ให้ดำเนินคดีจับ ส.พร้อมยัดข้อหาเป็นการใช้อำนาจทำเพื่อเพื่อน ซึ่งเป็นการปฏิบัติโดยลำเอียง ย่อมทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและไม่มีคุณธรรมเลือกปฏิบัติมุ่งช่วยเหลือพวกพ้อง ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลยมิใช่การติชมด้วยความเป็นธรรมหรือเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต
จำเลยต้องรับผิดในฐานะบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือพิมพ์ ด. รายสัปดาห์ โดยที่จำเลยมิได้เป็นผู้ประพันธ์ข้อความ หนังสือพิมพ์ดังกล่าวมักเสนอข่าวใหญ่เกี่ยวกับธุรกิจและออกเป็นรายสัปดาห์ซึ่งมีผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม การให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาทั้งในหนังสือพิมพ์ประเภททั่วไปและธุรกิจ ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ย่อมไม่เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดของจำเลย สมควรให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ ด.รายสัปดาห์และหนังสือพิมพ์ ผ. รายสัปดาห์ เพียง 2 ฉบับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 753/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักทรัพย์-เบื่อสุนัข: พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลย, การรับสารภาพ & การคืนของกลาง
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นขณะจำเลยทั้งสองลักทรัพย์ของผู้เสียหายก็ตาม แต่หลังเกิดเหตุไม่นานเจ้าพนักงานตามไปจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหาย ทั้งยังยึดเศษปลาที่อยู่ในกระทะ ซึ่งเมื่อตรวจพิสูจน์แล้วพบว่ามีสารพิษชนิดเม็ทโธมิลติดอยู่และเป็นสารพิษชนิดเดียวกับที่ติดอยู่ที่เศษปลาทอดในปากสุนัขของผู้เสียหายที่ตาย อันเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการนำอาหารผสมสารพิษดังกล่าวเบื่อสุนัขในบ้านของผู้เสียหาย เพื่อความสะดวกแก่การเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย ทั้งในชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ทันที พยานหลักฐานของโจทก์มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงสอดคล้องและใกล้ชิดกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองมาตลอดจึงบ่งชี้ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายที่ร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เครื่องชั่งผิดอัตรา: หลักฐานฟังไม่ได้ว่าเครื่องชั่งชำรุดจริง ศาลยกฟ้อง
แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามข้อหาที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมแจ้งว่ามีและใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าโดยใต้แท่นเครื่องชั่งของกลางไม่มีแผ่นเหล็กบังคับห่วงคู่ด้านหน้าก็ตาม แต่ผู้จับกุมดังกล่าวไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับเครื่องชั่งไม่ทราบว่าเครื่องชั่งของกลางจะมีการดัดแปลงหรือไม่ ทั้ง อ. เจ้าพนักงานชั่ง ตวง วัด ซึ่งเป็นผู้พิสูจน์เครื่องชั่งดังกล่าวก็มิได้ยืนยันว่า การที่ขาดแผ่นเหล็กบังคับห่วงคู่ด้านหน้าจะมีผลทำให้เครื่องชั่งผิดอัตราไป แม้จะปรากฏว่าขอห้อยรองรับตุ้มถ่วงปลายคันชั่งชำรุดอันอาจทำให้ผู้ใช้เครื่องชั่งสามารถเพิ่มหรือลดน้ำหนักที่ขอห้อยได้ตามความต้องการ และมีการพิสูจน์น้ำหนักโดยเทียบกับมาตราตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน โดยสอบน้ำหนักขั้นต่าง ๆ แล้วพบว่ามีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่บ้าง แต่ อ. ก็เบิกความตอบคำถามค้านว่าเครื่องชั่งของกลางได้ผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองมาแล้วทั้งขณะที่ตรวจเครื่องชั่งยังไม่มีการเพิ่มหรือลดเครื่องชั่ง เพียงแต่อยู่ในลักษณะที่สามารถเพิ่มหรือลดเครื่องชั่งตามความต้องการของผู้ใช้ กรณีจึงขัดแย้งกับการพิสูจน์น้ำหนักเครื่องชั่งของกลางที่ว่า น้ำหนักเกินมาตรฐานดังกล่าว ส่วนการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเครื่องชั่งของกลางถูกดัดแปลงแก้ไขนอตยึดแกนล้อถูกเชื่อมพอกให้หนาขึ้นเพื่อเวลาใช้เครื่องชั่งจะทำให้แกนล้อเลื่อนไปมาได้ และทำให้ส่วนที่เชื่อมพอกบนแกนล้อไปหนุนคานรับน้ำหนักใต้แท่นชั่งเมื่อทำการชั่งจะทำให้น้ำหนักที่ชั่งได้ไม่ตรงตามมาตรฐานที่ทางราชการเคยรับรองไว้โดยจะชั่งน้ำหนักได้น้อยกว่าความจริงนั้น ในชั้นพิจารณาโจทก์ก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ฉะนั้น การที่เครื่องชั่งของกลางมีขอห้อยรองรับตุ้มถ่วงปลายคันชั่งชำรุด แม้จะทำให้เครื่องชั่งอยู่ในลักษณะที่จะเพิ่มหรือลดเครื่องชั่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ก็จะสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายว่า จำเลยที่ 1ใช้เครื่องชั่งให้ผิดอัตราไปในทางเพิ่มหรือลดเครื่องชั่งไม่ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าเครื่องชั่งของกลางเป็นเครื่องชั่งที่ผิดอัตรา
เมื่อฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัดฯ จึงไม่อาจยึดเครื่องชั่ง ตุ้มน้ำหนักและคานแขวนลูกตุ้มของกลางตามมาตรา 38 ได้ทั้งของกลางดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดและมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
เมื่อฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัดฯ จึงไม่อาจยึดเครื่องชั่ง ตุ้มน้ำหนักและคานแขวนลูกตุ้มของกลางตามมาตรา 38 ได้ทั้งของกลางดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดและมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานต้องชัดเจนและต่อเนื่อง
โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบจากสายลับว่าจำเลยที่ 1 ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้วขอหมายค้นจากศาลชั้นต้นเข้าตรวจค้นทันที โดยมิได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานทั้งปวงโดยวิธีการล่อซื้อเพื่อเป็นการยืนยันให้มั่นคงถึงพฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 1 ว่าร่วมกับจำเลยที่ 2ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง พฤติการณ์ที่โจทก์นำสืบมาไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ใคร ที่ไหน อย่างใด และเมื่อใด กรณีไม่ใช่เป็นการคาดคิดหรือเป็นความเข้าใจของผู้จับกุมที่จะทราบเพียงลำพังตนเองอันเป็นการรู้เฉพาะบุคคลตามที่โจทก์ฎีกา โจทก์มีภาระการพิสูจน์ที่จะต้องนำสืบถึงพฤติการณ์ทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์อ้างเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่บุคคลอื่นจนปราศจากสงสัย มิใช่อาศัยคำรับในชั้นจับกุมหรือคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่เบิกความตอบโจทก์ถามค้านเพียงว่า เมื่อซื้อเมทแอมเฟตามีนมาแล้วจะให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บและจำเลยที่ 1 เคยนำเมทแอมเฟตามีนจำหน่ายให้บุคคลอื่น คำเบิกความจำเลยที่ 1 เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆเท่านั้น แม้จะเป็นผลร้ายแก่ตนเองก็ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 1ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากนี้เมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัมไม่เข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่จะถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงรับฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ซึ่งข้อหาดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีมีผลถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้อุทธรณ์ ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213