คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 227

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7189/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย: ศาลรับฟังคำรับสารภาพและปริมาณยาเสพติดเป็นเหตุผลเพียงพอ
ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนถึง 68 เม็ด ไว้ในครอบครอง เมื่อนำมาฟังประกอบกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและตามทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้เสพติดเมทแอมเฟตามีน เชื่อได้ว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างขัดแย้งกันบ้างเป็นเพียงพลความ จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าวโดยจำเลยเห็นว่าเป็นการขัดกันในข้อสาระสำคัญนั้น เห็นว่า จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ มาในฎีกา โดยมิได้มีรายละเอียดแสดงให้เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญอย่างไรบ้าง ฎีกาข้อนี้เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5592/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบเลี่ยงการจับกุมเป็นสาระสำคัญของความผิด พ.ร.บ.คนเข้าเมือง
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ 2522มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ผู้กระทำจะต้องให้คนต่างด้าวเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
พ.กับ อ.เป็นคนต่างด้าวสัญชาติพม่าเป็นลูกจ้างส่งน้ำแข็งที่ร้านของจำเลย แม้จำเลยให้บุคคลทั้งสองพักอาศัยที่บ้านของจำเลยแต่จำเลยมีเจตนาให้บุคคลทั้งสองทำงานให้จำเลยเท่านั้น หาได้มีเจตนาเพื่อให้บุคคลทั้งสองพ้นจากการจับกุมไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ พ.กับอ.พ้นจากการจับกุม พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5592/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการให้ที่พักอาศัยแก่คนต่างด้าว ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.คนเข้าเมือง หากไม่มีเจตนาให้พ้นจากการจับกุม
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง ผู้กระทำจะต้องให้คนต่างด้าวเข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม
พ.กับอ. เป็นคนต่างด้าวสัญชาติพม่าเป็นลูกจ้างส่งน้ำแข็งที่ร้านของจำเลย แม้จำเลยให้บุคคลทั้งสองพักอาศัยที่บ้านของจำเลยแต่จำเลยมีเจตนาให้บุคคลทั้งสองทำงานให้จำเลยเท่านั้น หาได้มีเจตนาเพื่อให้บุคคลทั้งสองพ้นจากการจับกุมไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบให้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาให้ พ.กับอ. พ้นจากการจับกุมพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริงและการดำเนินการตามมาตรา 221 หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขศาลจะไม่รับฎีกา
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งหากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาโดยขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาตามเงื่อนไขในมาตรา 221จำเลยก็ต้องดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องเสียก่อนพ้นระยะเวลายื่นฎีกา
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 221 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลย ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิ่มเติมให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลภายในเวลาศาลชั้นต้นกำหนดว่าประสงค์จะให้ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ หากไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนดก็ให้ถือว่าศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาเท่ากับเป็นการมีคำสั่งขยายระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณา ซึ่งคำสั่งเช่นนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23ประกอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ในเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 221 จนล่วงพ้นกำหนดยื่นฎีกาและกรณีไม่มีเหตุสุดวิสัย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดวันให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การดำเนินการตามมาตรา 221 และผลของการไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนด
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218วรรคหนึ่ง หากจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิฎีกาโดยขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษารับรองให้ฎีกาตามเงื่อนไขในมาตรา 221 จำเลยก็ต้องดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องเสียก่อนพ้นระยะเวลายื่นฎีกา
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตาม ป.วิ.อ.มาตรา 221 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาจำเลย ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิ่มเติมให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวและให้จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลภายในเวลาศาลชั้นต้นกำหนด ว่าประสงค์จะให้ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ หากไม่ยื่นคำร้องภายในกำหนดก็ให้ถือว่าศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกา เท่ากับเป็นการมีคำสั่งขยายระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณา ซึ่งคำสั่งเช่นนี้จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ.มาตรา 15 ในเมื่อจำเลยมิได้ยื่นคำร้องขอใช้สิทธิตามมาตรา 221 จนล่วงพ้นกำหนดยื่นฎีกาและกรณีไม่มีเหตุสุดวิสัยการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกำหนดวันให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายปัญหานี้แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5534/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพชั้นจับกุมมีผลผูกพันจำเลย แม้เกิดจากการต่อรอง ไม่ใช่การถูกบังคับจากเจ้าพนักงาน
พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้ความชัดว่า ว. ได้พบเห็นจำเลยอยู่ในร้านค้าของ ว. โดย ส. ลูกจ้างของ ว. อยู่นอกร้านค้า และจำเลยเดินหนีออกจากร้านค้าโดยในมือถือสิ่งของไปด้วย ต่อมาหลังจาก ว. คาดคั้นและทราบจาก ส. ว่าถูกจำเลยข่มขู่และเอาทรัพย์สินไปแล้ว ว. ไปสถานีตำรวจพร้อมจำเลย จำเลยรับสารภาพและลงลายมือชื่อในบันทึกชั้นจับกุมว่าเอาทรัพย์สินของ ว. ไปจริง แม้ข้อนี้จำเลยจะนำสืบว่า เหตุที่รับสารภาพในชั้นจับกุมเนื่องจากถูก ว. หลอกว่าจะไม่เอาเรื่อง หากเป็นจริงก็ไม่ได้ทำให้คำรับสารภาพในชั้นจับกุมเสียไปเพราะมิได้เกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงาน แต่เกิดจากการต่อรองและการตัดสินใจของจำเลยโดยสมัครใจ ย่อมรับฟังยันจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์รับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5175-5176/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานแวดล้อมเพียงพอพิสูจน์ความผิดฐานวางเพลิง เผาทรัพย์ แม้ไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยาน แต่เจ้าพนักงานตำรวจพบจำเลยทั้งสามในบริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์เกือบจะทันทีทันใดภายหลังเกิดเหตุโดยมีอุปกรณ์ซึ่งสามารถใช้ในการกระทำผิด อุปกรณ์บางอย่างเก็บไว้ในที่ซึ่งบุคคลทั่วไปไม่ใช้เป็นที่เก็บ โดยเศษผ้าลายชุบน้ำมัน 2 ผืนอยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยที่ 2 และตามเนื้อตัวเสื้อผ้าของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีรอยเปื้อนน้ำมัน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์โดยไม่เปิดไฟหน้าในลักษณะคล้ายกับกระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี เมื่อเห็นจุดตรวจจำเลยที่ 2 ได้ขว้างขวดทิ้ง จากการตรวจพบว่าเป็นขวดแก้วมีคราบน้ำมันเป็นพิรุธถือได้ว่าพยานโจทก์เป็นพยานแวดล้อม กรณีบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4956/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพร่วมกับพยานหลักฐานอื่น เชื่อได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
แม้ตามทางสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนจับกุมทราบเพียงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกอีกสองคนจะมาส่งมอบเมทแอมเฟตามีน โดยไม่ได้ระบุชื่อจำเลยที่ 2 ด้วยก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็ร่วมเดินทางมาในรถยนต์คันเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมีห่อเมทแอมเฟตามีนวางอยู่ที่เบาะด้านหลังในชั้นจับกุมจำเลยต่างรับสารภาพว่าได้ร่วมกันนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบแก่ลูกค้า ซึ่งเป็นคำรับสารภาพในชั้นต้นทันทีที่ถูกจับ ยังมิได้มีโอกาสคิดปรุงแต่งเรื่องให้ผิดไปจากความจริง คำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 สอดคล้องกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งมีรายละเอียดของบุคคลที่เกี่ยวข้องและขั้นตอนของการกระทำผิดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถูกจับ จึงน่าเชื่อว่าเป็นการรับสารภาพตามความเป็นจริงโดยสมัครใจ รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4751/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับของโจรต้องพิสูจน์เจตนาและความรู้เห็นร่วม กระแสหลักฐานไม่ชัดเพียงพอไม่อาจลงโทษได้
รถจักรยานยนต์ที่เจ้าพนักงานตำรวจเห็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 กับพวกกำลังถอดชิ้นส่วนอยู่ขณะเข้าตรวจค้นนั้นไม่ใช่ของผู้เสียหาย เมื่อความผิดฐานรับของโจรเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำโดยประการใดต่อรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้เห็นเกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ลำพังพฤติการณ์ที่ได้ความเพียงว่าอาศัยอยู่ในบ้านที่ตรวจค้นพบโครงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีส่วนรู้เห็นร่วมกระทำความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4586/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฆ่าโดยบันดาลโทสะ vs. ไตร่ตรองไว้ก่อน: พิจารณาจากคำด่าและพฤติการณ์ของผู้ตาย
แม้ ว.เจ้าของร้านอาหารที่เกิดเหตุและท.ลูกจ้างของว.พยานโจทก์ที่อยู่ในร้านอาหารเกิดเหตุจะเบิกความต้องกันว่า จำเลยเข้ามาในร้านอาหารแล้วทวงถามหนี้จากผู้ตาย โดย ท. เบิกความว่าผู้ตายโกรธจำเลยและด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบ ๆ คาย ๆ ว่า "ไอ้หน้าหีหน้าแตดเจอทีไรต้องทวงหนี้ทุกที กูไม่ใช้มึง มึงอยากได้ มึงก็ไปฟ้องเอา ถ้ามึงไม่ฟ้องไม่ใช่ลูกผู้ชาย" ซึ่งถ้อยคำด่าดังกล่าวนี้แม้จะทำให้จำเลยมีความอับอายต่อหน้าบุคคลอื่นที่อยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุขณะนั้นได้แต่ก็เป็นเพียงถ้อยคำที่หยาบคายตามปกติที่หากผู้ตายเป็นวิญญูชนโดยทั่วไปแล้วก็ไม่สมควรที่จะกล่าวออกมาเท่านั้น เมื่อผู้ตายด่าว่าจำเลยแล้วก็ลุกออกเดินจะไปที่รถยนต์ของผู้ตายที่จอดอยู่ใกล้ ๆ กับหน้าร้านอาหารที่เกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำใด ๆ อันเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในร่างกายหรือทรัพย์สินของจำเลยอีก พฤติการณ์ของผู้ตายที่แสดงต่อจำเลยยังถือไม่ได้ว่าได้กระทำการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม 16) ซึ่งจำเลยรู้ดีว่าเป็นอาวุธปืนที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้ตายเป็นการกระทำไปด้วยความโกรธขาดสติ จำเลยจึงไม่อาจอ้างได้ว่าฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
การไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นภาวะทางจิตใจของจำเลยที่จะต้องคิดทบทวนตกลงใจว่า จะฆ่าผู้ตายก่อนที่จะลงมือกระทำ ซึ่งเป็นการยากที่จะหยั่งรู้ได้โดยตรง การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุ แม้จะได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยฆ่าผู้ตายเนื่องมาจากเหตุที่ผู้ตายยืมเงินจำเลยจำนวนมากถึง 205,000 บาท จำเลยทวงถามหลายครั้งแล้วผู้ตายไม่ยอมชำระก็ตาม แต่การกู้ยืมเงินกันระหว่างจำเลยกับผู้ตายก็ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินกันไว้ ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยได้คิดทบทวนตัดสินใจที่จะฆ่าผู้ตายที่ไม่ยอมชำระหนี้ให้จำเลยไว้
of 119