คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 227

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 275/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย และการเพิ่มโทษเจ้าพนักงานที่กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญ และต่างเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งจำเลย ก็เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเช่นเดียวกับพยานโจทก์ทั้งสอง จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะมาเบิกความปรักปรำจำเลย ส่วนที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความแตกต่างกันในเรื่องที่ขึ้นไปชั้นสองของตัวบ้านพร้อมกันหรือไม่นั้นเป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองขาดน้ำหนักที่จะรับฟังแต่อย่างใดเมื่อพิจารณาถึงจำนวนเมทแอมเฟตามีนของกลางที่มีจำนวนมาก และมีราคาสูง ตามปกติวิสัยของคนทั่วไปย่อมต้องวางไว้ ข้างตัวเพื่อจะปกป้องได้ทันหากมีเรื่องไม่คาดหมายเกิดขึ้น จึงน่าเชื่อว่าเป็นของจำเลย และจำนวนเมทแอมเฟตามีน ของกลางก็มีมากเกินกว่าจะมีไว้เสพเอง พยานหลักฐานโจทก์ จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลาง ไว้ในครอบครองเพื่อขาย ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดและลงโทษจำคุก 3 ปี นั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มาตรา 3 และมาตรา 10 บัญญัติเพิ่มโทษเฉพาะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดทางด้านการผลิตนำเข้าส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น แม้ปัญหานี้จะไม่มีฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวบุคคลผู้กระทำผิดในคดีชิงทรัพย์ ผู้เสียหายไม่สามารถจำหน้าคนร้ายได้อย่างชัดเจนเนื่องจากสถานการณ์และสภาพร่างกาย
ผู้เสียหายถูกชกต่อยทุบทำร้ายบริเวณใบหน้าถึง 10 กว่าครั้ง ย่อมได้รับความปวดเจ็บ ไม่น่าจะมองเห็นได้ถนัดชัดเจน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน 2 นาฬิกาเศษแสงไฟฟ้าบริเวณที่เกิดเหตุมีเพียงหลอดไฟฟ้าขนาดเล็กเพียง 20 วัตต์ 2 หลอด ที่หน้าบ้านผู้เสียหายและ บ้านข้างเคียงไม่น่าจะสว่างเพียงพอให้เห็นได้ชัดเจน ทั้งปรากฏว่าคนร้ายสวมหมวกแก๊ป แสงสว่างของไฟฟ้า ที่อยู่ใต้กันสาดบ้านผู้เสียหายและบ้านข้างเคียงย่อมอยู่สูง กว่าศีรษะของคนร้ายทำให้เกิดเงามืดบริเวณใบหน้าคนร้าย ที่สวมหมวกแก๊ป ดังกล่าว ผู้เสียหายย่อมไม่อาจมองเห็น ใบหน้าคนร้ายได้ถนัดชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะเวลา ตั้งแต่คนร้ายลงมาล็อกคอจนขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนีไปนั้น ผู้เสียหายเบิกความว่าเป็นเวลาประมาณ 1 นาที เท่านั้น เมื่อผู้เสียหายซึ่งไม่เคยเห็นหน้าคนร้ายมาก่อนและ ถูกทำร้ายทั้งชกต่อยทุบและกระทืบบริเวณใบหน้าอย่างรุนแรง จนได้รับอันตรายสาหัสจึงไม่น่าจะมีโอกาสเห็นและจำหน้า คนร้ายได้ ประกอบกับการสอบปากคำผู้เสียหายในครั้งแรกผู้เสียหายกล่าวว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ และยืนยันว่าผู้เสียหายไม่ยอมชี้ตัวคนร้าย ดังนี้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้น จึงไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกชิงทรัพย์ผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการร่วมลักทรัพย์ - การพิสูจน์ความผิดฐานร่วมกระทำความผิดอาญา - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอซื้อยูคาลิปตัส จากที่ดินของผู้เสียหายแล้ว เพียงแต่ยังมิได้มีการตกลงราคากันให้แน่นอน จำเลยที่ 2 ได้เข้ามาในที่เกิดเหตุและช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการตัดต้นยูคาลิปตัส โดยได้กระทำการโดยเปิดเผยมีการจ้างคนงานหลายคน ใช้เวลาในการตัดทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลานานถึง 17 วัน ประกอบกับจำเลยที่ 1 มีอาชีพซื้อต้นยูคาลิปตัส เพื่อตัดส่งโรงงานข้อเท็จจริงจึงยังเป็นที่น่าสงสัยว่า จำเลยที่ 2 จะรู้หรือไม่ว่าการตกลงซื้อขายกันยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 2 ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมลักทรัพย์ ต้นยูคาลิปตัส กับจำเลยที่ 1
เมื่อโจทก์สืบไม่ได้ว่าพวกจำเลยอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการ พาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 336 ทวิ แต่ไม่ผิดฐานร่วมกระทำความผิด ด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 335(7) โดยที่ปัญหานี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดร่วม ลักทรัพย์ จำเลยต้องรู้ว่าการซื้อขายไม่สำเร็จ
จำเลยที่ 1 ได้ติดต่อขอซื้อยูคาลิปตัส จากที่ดินของผู้เสียหายแล้ว เพียงแต่ยังมิได้มีการตกลงราคากันให้แน่นอน จำเลยที่ 2 ได้เข้ามาในที่เกิดเหตุและช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในการตัดต้นยูคาลิปตัส โดยได้กระทำการโดยเปิดเผยมีการจ้างคนงานหลายคน ใช้เวลาในการตัดทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเวลานานถึง 17 วัน ประกอบกับจำเลยที่ 1 มีอาชีพซื้อต้นยูคาลิปตัส เพื่อตัดส่งโรงงานข้อเท็จจริงจึงยังเป็นที่น่าสงสัยว่า จำเลยที่ 2 จะรู้หรือไม่ว่าการตกลงซื้อขายกันยังไม่สำเร็จบริบูรณ์ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 2 ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมลักทรัพย์ ต้นยูคาลิปตัส กับจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์สืบไม่ได้ว่าพวกจำเลยอีก 1 คน ซึ่งยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการ พาทรัพย์นั้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย มาตรา 336 ทวิ แต่ไม่ผิดฐานร่วมกระทำความผิด ด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามมาตรา 335(7) โดยที่ปัญหานี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 242/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่า แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือเอง แต่มีเจตนาและพฤติการณ์ร่วม
จำเลยร่วมอยู่ในกลุ่ม ม. กับพวกเข้าไปจะทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 กับพวก โดย ม. มีอาวุธปืนเล็งมาทางที่ผู้เสียหายที่ 2 นั่ง จำเลยกวักมือเรียกกลุ่มผู้เสียหายที่ 2กับเข้าแย่งปืนจาก ม. และพูดว่า กูยิงเอง และเมื่อเสียงปืนดังขึ้น จำเลย ม. กับพวกก็วิ่งหลบหนีไปพร้อมกันแม้จะได้ความว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนยิง พฤติการณ์เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับ ม. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับพวกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการ ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าพวกผู้เสียหาย และยัง ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้หลังเกิดเหตุ 1 ปีเศษ แสดงว่าจำเลยหลบหนีเป็นพิรุธ การนำสืบอ้างฐานที่อยู่ ลอย ๆ ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอไม่อาจ หักล้างพยานโจทก์ได้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มิใช่บทมาตราที่บัญญัติว่า การกระทำอย่างใดเป็นความผิดทางอาญา หากแต่เป็นบทมาตรา ที่ใช้แก่ความผิดทั่ว ๆ ไป กรณีที่การกระทำร่วมกัน ของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเกิดขึ้น ศาลจะต้องวางโทษ แก่บุคคลเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้น แม้โจทก์มิได้อ้างมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาในฟ้อง ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า: การประเมินอันตรายจากวัตถุระเบิดและการลดโทษจากคำรับสารภาพ
ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลเพียง 2 แห่ง ที่กลางหลังและที่ขาข้างซ้าย บาดแผลที่กลางหลังมีลักษณะถูกดินระเบิด บาดแผลกลมถลอกพอมีเลือดซึม เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ส่วนที่ขาข้างซ้ายบวมแดง สันนิษฐานว่าถูกของแข็งไม่มีคม บาดแผลดังกล่าวรักษา 7 วันหาย ผู้เสียหายที่ 2 จึงได้รับ อันตรายแก่กายเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่จุดระเบิดอยู่ห่างจาก ผู้เสียหายที่ 2 เพียงประมาณไม่เกิน 2 เมตร แสดงว่า วัตถุระเบิดที่จำเลยกับพวกใช้นั้น ไม่อาจทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ถึงแก่ชีวิตได้ แม้จำเลยกับพวกจะเล็งเห็นผลของการกระทำว่า สะเก็ด ระเบิดอาจทำให้ผู้อื่นถึงตายได้ แต่การกระทำของจำเลยกับพวกเมื่อไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัย ซึ่งใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,81 และ 83 หาใช่มาตรา 288,80 และ 83 ไม่ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และศาลชั้นต้น ก็ยกเอาคำให้การดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วย ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นการให้ความรู้ แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ถึงแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจ ลดโทษให้จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดทางอาญา: การประเมินผลร้ายแรงของบาดแผลต่อการลงโทษ
ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลเพียง 2 แห่ง ที่กลางหลังและที่ขาข้างซ้าย บาดแผลที่กลางหลังมีลักษณะถูกดินระเบิด บาดแผลกลมถลอกพอมีเลือดซึมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ส่วนที่ขาข้างซ้ายบวมแดง สันนิษฐานว่าถูกของแข็งไม่มีคม บาดแผลดังกล่าวรักษา 7 วันหาย ผู้เสียหายที่ 2 จึงได้รับอันตรายแก่กายเพียงเล็กน้อย ทั้ง ๆ ที่จุดระเบิดอยู่ห่างจากผู้เสียหายที่ 2 เพียงประมาณไม่เกิน2 เมตร แสดงว่าวัตถุระเบิดที่จำเลยกับพวกใช้นั้น ไม่อาจทำให้ผู้เสียหายที่ 2ถึงแก่ชีวิตได้ แม้จำเลยกับพวกจะเล็งเห็นผลของการกระทำว่าสะเก็ดระเบิดอาจทำให้ผู้อื่นถึงตายได้ แต่การกระทำของจำเลยกับพวกเมื่อไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 288, 81 และ 83 หาใช่มาตรา 288, 80และ 83 ไม่
คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และศาลชั้นต้นก็ยกเอาคำให้การดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดีด้วย ถือได้ว่าคำให้การของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ถึงแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาปัญหาข้อนี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจลดโทษให้จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีวัตถุออกฤทธิ์ในครอบครองเพื่อขาย โจทก์ต้องพิสูจน์เจตนาจำเลย แม้มีของกลางจำนวนมาก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีอีเฟดรีนจำนวน 195 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อขาย โจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องนำสืบแสดง พยานหลักฐานต่อศาล เพื่อให้เห็นสมจริงว่าจำเลยมี อีเฟดรีน ของกลางไว้เพื่อขาย การยึดได้ของกลางจำนวนดังกล่าวนี้ไม่แน่ว่าจำเลยจะมีไว้เพื่อขายเสมอไป และไม่อาจ สันนิษฐานว่าจำเลยมีของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายได้ เพราะพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ไม่มีบทบัญญัติให้สันนิษฐานไว้เช่นนั้น ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยก็ปฏิเสธ จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องสืบให้ได้ความเช่นนั้นแต่ข้อนำสืบนั้นต้องมิใช่ส่วนหนึ่งของคำรับที่จำเลยเคยให้การไว้ในชั้นจับกุมหรือสอบสวนเมื่อโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยจำหน่ายจ่ายแจกหรือมีไว้ซึ่งของกลางเพื่อขายกรณียังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้จำเลย คดีรับฟังได้เพียงว่าจำเลยมีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือและขาดหลักฐานสนับสนุน ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์มีคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่าย กับมีพันตำรวจตรีป. พนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ 2 รับสารภาพว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิง แต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนกับภาพถ่ายที่แสดงท่าทางและนำชี้ที่เกิดเหตุ แล้วแต่เป็นพยานบอกเล่าจึงมีน้ำหนักน้อย ส่วนปลอกกระสุนปืนที่ยึดได้จากบ้านของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ตาย จึงขาดการต่อเนื่อง นอกจากคำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 แล้ว โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานหรือวัตถุ ของกลางที่ยืนยันได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1ฆ่าผู้ตาย พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบจึงยังมี ความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่ง ความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน, การพิสูจน์ความผิดอาญา, และหลักการสงสัยต้องเป็นประโยชน์แก่จำเลย
ตามปกติวิสัยของคนร้ายย่อมจะต้องปกปิดมิให้บุคคลอื่น รู้เห็นการกระทำความผิดของตน การที่ จ. รู้จักกับจำเลยมาก่อนเพราะเป็นญาติกัน หากจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย จริงแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าขณะรถจักรยานยนต์ที่จำเลย นั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่ น.ขับจำเลยจะพยัก หน้าทักทายกับ จ. ทั้งไม่มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าจำเลยจะยิงผู้ตายในขณะที่รถจักรยานยนต์ที่ น. ขับและ จ.นั่งซ้อนท้ายเพิ่งจะแล่นสวนทางกับรถจักรยานยนต์ที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายไปเพียงครึ่งนาที ซึ่งรถจักรยานยนต์ที่ น. ขับและ จ.นั่งซ้อนท้ายแล่นไปได้เพียง 40 วาเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ความจากคำเบิกความของ พันตำรวจโท ย.พนักงานสอบสวนว่า หลังเกิดเหตุประมาณ1 ถึง 2 วัน จึงทราบว่าจำเลยเป็นคนร้าย โดยทราบจากการ สอบสวน ซึ่งหาก จ.รู้เห็นเหตุการณ์จริง จ.ย่อมจะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบในคืนเกิดเหตุทันทีเพราะผู้ตาย เป็นน้องของตน แต่ จ.หาได้กระทำไม่แม้ ร.ภริยาผู้ตายจะเบิกความว่า ในคืนเกิดเหตุ หลังจากพยานดูศพผู้ตายแล้ว จ. และ น. ไปบอกพยานที่บ้านว่าเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้นก็คงมี ร.เบิกความกล่าวอ้างลอย ๆจ. และ น.หาได้เบิกความถึงข้อนี้ไม่ ซึ่งหากเป็นความจริงแล้ว ร.คงจะไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนในคืนเกิดเหตุเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นจับกุมตลอดมา พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิด โดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
of 119