คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 227

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่าและชิงทรัพย์ด้วยอาวุธปืน ศาลพิจารณาพยานหลักฐานและแก้ไขคำพิพากษา
จำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนเล็กกลยิงมาทางผู้เสียหาย ทั้งหกในขณะนั่งมาในรถยนต์ซึ่งแล่นมาตามถนนสายพัทลุง-ตรัง โดยจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่ากระสุนปืน ที่จำเลยกับพวกใช้ยิงอาจถูกผู้เสียหายทั้งหกซึ่งนั่งอยู่ ในรถยนต์ได้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งหก เพื่อความสะดวกในการชิงทรัพย์ จำเลยกับพวกลงมือ กระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนถูกรถยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ได้รับความเสียหาย ถูกผู้เสียหายที่ 5 ได้รับบาดเจ็บและกลุ่มผู้เสียหายหลบหนีได้ทัน จำเลยกับพวก ไม่อาจชิงทรัพย์ได้สำเร็จ จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกัน พยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งหกเพื่อความสะดวกในการที่จะ กระทำความผิดอย่างอื่นและฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์ ของผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 5 ความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนนอกจากที่กำหนดใน กฎกระทรวงไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 78 วรรคหนึ่ง กับความผิดฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าว ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกัน พยายามชิงทรัพย์ตามมาตรา 78 วรรคสาม ฐานร่วมกัน พยายามฆ่าผู้อื่น และฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนในการกระทำความผิด ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7522/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีวิ่งราวทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานแน่นหนา ทั้งพยานผู้เสียหายและพยานตำรวจยืนยันตัวผู้กระทำผิด
เหตุเกิดในเวลากลางวัน ผู้เสียหายเห็นจำเลยชัดเจนในระยะใกล้ชิดขณะจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้ามาเทียบ และขับรถไล่ตามรถจำเลยไปในระยะไม่ห่างระหว่างนั้นมีโอกาสเห็นหน้าจำเลยหลายครั้งขณะจำเลยเลี้ยวรถกลับและขับออกมาจากกองร้อย ทั้งยังได้จดจำลักษณะการแต่งกายและหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ของจำเลยไว้ด้วยว่าจำเลยใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมเสื้อแจ็กเกตสีเทาทับไว้ นุ่งกางเกงขายาวสีกรมท่าคล้ายนักเรียนช่างกล สวมหมวกกลมมีหัวจุกตรงกลางแต่ไม่มีกะบังคล้ายหมวกชาวอิสลาม อันเป็นวิสัยของตนธรรมดาทั่วไปที่จะตั้งใจจดจำในเรื่องดังกล่าวของคนร้ายที่ได้กระทำผิดต่อตน ขณะนั้นการจราจรไม่พลุกพล่านอันจะเป็นเหตุให้ผู้เสียหายสับสนจำผิดพลาดสิบตำรวจตรี ส. ก็ยืนยันว่าผู้เสียหายได้แจ้งเหตุพร้อมกับบอกลักษณะการแต่งกายของคนร้ายและหมายเลขทะเบียนรถจักรยานยนต์ไว้ด้วยจริง ทั้งยังได้ชี้ให้จับจำเลยในทันทีภายหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อยพร้อมรถจักรยานยนต์ซึ่งมีหมายเลขทะเบียนตรงกับที่ผู้เสียหายแจ้งไว้ตั้งแต่แรก นอกจากนี้เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเสื้อแจ็กเกตและหมวกซ่อนไว้ข้างโต๊ะสนุกเกอร์ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7398/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานต้องชัดเจนถึงเจตนาและความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่า จำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่โจทก์นำสืบว่า จำเลยมีเฮโรอีนฝาปิดสีแดงห่อละ 5 หลอด 2 ห่อ และห่อละ 3 หลอด 1 ห่อ ในกระดาษหนังสือพิมพ์ กรณีจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจำหน่ายเฮโรอีนตามบทนิยามคำว่าจำหน่าย ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เพราะการจำหน่ายตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวหมายถึงการจำหน่ายให้บุคคลอื่น แต่ในทางนำสืบของโจทก์เพียงแต่สืบทราบว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติดเท่านั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากนี้เฮโรอีนของกลางมีจำนวนเพียง 13.65 กรัม ไม่ถึง 20 กรัม ไม่เข้าข้อสันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7150/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพที่ได้จากการถูกทำร้ายร่างกาย และพยานที่ไม่ชัดเจน ทำให้ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
แม้ชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุก็ตาม แต่จำเลยเบิกความว่าเหตุที่ให้การเช่นนั้นเพราะถูกทำร้ายร่างกาย ทั้งเมื่อถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจำเลยก็ให้การปฏิเสธและไม่ยอมลงชื่อในคำให้การ ดังนั้น ลำพังเพียงคำรับสารภาพดังกล่าวไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดหรือไม่ ศาลย่อมยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6673/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันลักทรัพย์: พฤติการณ์รับว่าช่วยถอดทรัพย์สิน, การจับกุมผู้ร่วมกระทำผิด, และคำรับสารภาพมีน้ำหนักรับฟัง
แม้การที่จำเลยแจ้งแก่ ช.และสิบตำรวจตรีท. ว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไป แต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของจำเลยก็ตาม แต่คำบอกเล่าของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวร้ายเสียประโยชน์และไม่เป็นคุณแก่ตน ย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นได้การที่จำเลยนำสิบตำรวจตรีท.ไปจับกุมส.แล้วต่อมาส. ให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วพฤติการณ์ที่จำเลยเดินใกล้ที่เกิดเหตุและรับว่าช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ไปจากที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับส. ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6673/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำบอกเล่าจำเลยประกอบพฤติการณ์แวดล้อมเป็นหลักฐานรับฟังได้ในการพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์
แม้การที่จำเลยแจ้งแก่ ช.และสิบตำรวจตรี ท.ว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไป แต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของจำเลยก็ตาม แต่คำบอกเล่าของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวร้ายเสียประโยชน์และไม่เป็นคุณแก่ตน ย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นได้ การที่จำเลยนำสิบตำรวจตรี ท.ไปจับกุม ส. แล้วต่อมา ส.ให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว พฤติการณ์ที่จำเลยเดินใกล้ที่เกิดเหตุและรับว่าช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ไปจากที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ ส.ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6640/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต: ข้อแก้ตัวที่ไม่สมเหตุผล
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามได้ในขณะที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับรถกระบะของกลาง โดยจำเลยที่ 1 และที่ 3 นั่งโดยสารมาด้วย เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมได้ตรวจค้นและพบเครื่องกระสุนปืนของกลางซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะด้านหลังคนขับซึ่งมีการดัดแปลงไว้โดยเฉพาะ ซึ่งรถกระบะของกลางดังกล่าว จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยการเช่าซื้อ การที่จำเลยทั้งสามแก้ตัวว่ามีบุคคลอื่นยืมรถไปใช้ก่อนระยะเวลาหนึ่งแล้วยังได้อาศัยโดยสารรถมาและกระโดดหนีไปก่อนถูกตรวจค้น เป็นทำนองว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ดัดแปลงรถและซุกซ่อนของกลางมานั้นขัดต่อเหตุผลเพราะบุคคลดังกล่าวไม่น่าจะนำรถกระบะของกลางมาคืนให้แก่ จำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่ยังมีเครื่องกระสุนปืนของกลางซุกซ่อน ไว้ และก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยทั้งสามไม่แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบตั้งแต่วันจับกุมหรือสอบสวน ข้อแก้ตัวของจำเลยทั้งสามจึงฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6587/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์มีพิรุธและข้อต่อสู้ของจำเลยสมเหตุสมผล ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์มีพิรุธก็รับฟังคำเบิกความดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยปราศจากข้อระแวงสงสัย ไม่ได้ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งต่อสู้ว่าจำเลยสงสัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้ง จำเลยด้วยการนำธนบัตรตามสำเนาธนบัตร ที่เจ้าพนักงานตำรวจเตรียมไว้มาใส่ในกระเป๋าเงิน ของจำเลยตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดกระเป๋าของจำเลยไป ซึ่งข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวก็ควรรับฟังประกอบการพิจารณาด้วย เมื่อจำเลยปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องและพยานหลักฐาน ของโจทก์มีพิรุธ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น คุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6503/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยมีวัตถุออกฤทธิ์เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด และการแก้ไขโทษทางอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา
อีเฟดรีนของกลางที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวต้องรับโทษเพียงใดอยู่ที่ปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ว่าหนักเท่าใด เมื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีอีเฟดรีน ของกลางไว้ในครอบครอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก 13.12 กรัม ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 92(พ.ศ. 2538)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดไว้ว่าการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์อีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์แล้วต้องไม่เกินปริมาณ 12.000 กรัม การที่จำเลยมีอีเฟดรีน ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดดังกล่าวจึงเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทพ.ศ. 2518 มาตรา 106 ทวิ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1ตามที่โจทก์ฟ้องนั้นได้ หาใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ ขณะเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น พบจำเลยที่ 2 นอนอยู่ที่เพิง ข้างบ้าน โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าไปนอนที่บ้านเกิดเหตุเพื่อดู หนังสือเตรียมตัวสอบ ส่วนจำเลยที่ 3 ไปพบจำเลยที่ 1เพราะจำเลยที่ 1 ชวนให้นอนค้างที่บ้านเกิดเหตุ เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 หรือสมคบกับจำเลยที่ 1กระทำผิดรายนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ช่วยถอดเครื่องมือที่ใช้ผลิตอีเฟดรีน เพื่อนำออกไปซ่อมก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ทราบข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ผลิตอีเฟดรีน มาก่อน เพียงเท่านี้จึงยังไม่พอชี้ขาดว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีส่วนร่วมกระทำผิดรายนี้ด้วย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ,62,86,106 ทวิ ซึ่งการฝ่าฝืนมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง บทกำหนดโทษคือมาตรา 89การที่โจทก์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 86 แทนที่จะเป็นมาตรา 89 จึงเป็นกรณีโจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 วรรคหนึ่ง,62 วรรคหนึ่ง,89,106 ทวิ ให้ลงโทษฐานผลิตตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 89 และมาตรา 106 ทวิ ต่างก็มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทเท่ากัน ต้องพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานผลิตวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา 89

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดในคดีลักทรัพย์ พยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ และการยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ดวงไฟที่อยู่ที่บ้านใกล้เคียงห่างจากบ้านที่ผู้เสียหายพบคนร้ายครั้งแรกประมาณ 20 เมตร ไม่ปรากฏว่าดวงไฟดังกล่าวมีแสงสว่างขนาดกี่แรงเทียนมีความสว่างเพียงใด แสดงว่าบริเวณที่เกิดเหตุที่คนร้ายหอบของออกจากประตูหลังห้องนั้นไม่มีแสงสว่างเพียงพอ การที่คนร้ายกล้าเดินผ่านผู้เสียหายไปแสดงว่าบริเวณที่คนร้ายเดินสวนทางกับผู้เสียหายก็ไม่มีแสงสว่างอีกทั้งผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำหน้าคนร้ายได้ แม้ ว. อาสาสมัครของสถานีตำรวจจะพบจำเลยเดินมาในลักษณะแต่งกายตรงกับที่รับแจ้งและนำตัวจำเลยมาให้ผู้เสียหายชี้ตัว ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายก็ตาม แต่จุดที่พบจำเลยอยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 700 เมตร และไม่พบของกลางที่จำเลย แม้จะได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายใน ห้องพักของจำเลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าระหว่างที่คนร้ายหลบหนีได้ขึ้นไปบนห้องพักของจำเลยแต่อย่างใด นอกจากนี้ อ.พยานโจทก์ได้ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานพบผู้เสียหายและจำเลยก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง สภาพจำเลยมีอาการมึนเมาพูดจาไม่รู้เรื่อง ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของ จำเลยที่ว่าไปดื่มสุราที่บ้าน บ. มา เมื่อพิเคราะห์ พยานหลักฐานโจทก์กับพยานหลักฐานจำเลยแล้ว คดีจึงมีเหตุ สงสัยตามสมควรว่าผู้เสียหายจะจำหน้าจำเลยได้จริงหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
of 119