คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 227

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติด - พยานหลักฐานไม่ชัดเจน - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ไม่มีพยานที่เห็นว่าจำเลยเป็นผู้นำเฮโรอีนของกลางไปซุกซ่อนไว้ใต้ต้นปาล์ม เฮโรอีนของกลางที่ยึดได้อยู่ห่างบ้านจำเลยถึง 15 เมตร และซุกซ่อนอยู่ในถุงพลาสติกครอบด้วยกะลามะพร้าวใต้ต้นปาล์มติดแนวเขตที่ดินจำเลยซึ่งปกติย่อมยากที่เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นพบได้นอกจากเจ้าพนักงานตำรวจจะทราบล่วงหน้าถึงสถานที่ซุกซ่อนเฮโรอีนของกลาง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าเช่นว่านั้นทำให้เป็นที่สงสัย และหากเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยก็น่าจะซุกซ่อนในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ไม่น่าจะซุกซ่อนใกล้ชิดกับแนวเขตที่ดินของผู้อื่นโดยไม่มีรั้วกั้นเขตแดนและเป็นที่โล่งแจ้งซึ่งความปลอดภัยมีน้อยอีกทั้งสถานที่พบเฮโรอีนของกลางอยู่ห่างจากบ้านจำเลยโดยมี สวนกาแฟคั่นใกล้แนวเขตที่ดินของผู้อื่นและไม่มีรั้วกั้นโอกาสที่ผู้อื่นจะนำมาซุกซ่อนย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก ทั้งในการตรวจค้นจำเลยก็นำตำรวจค้นโดยมิได้ขัดขืนแต่ประการใดและจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาว่าเฮโรอีนของกลางมิใช่ของจำเลย ประกอบกับใบบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุแผนที่แสดงสถานที่ เกิดเหตุและภาพถ่ายประกอบคดีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลย หลบหนีหรือแสดงจุดที่จับกุมจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงยัง เป็นที่สงสัยตามสมควรว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยเป็นผู้ที่มี ไว้ในครอบครองหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น ผลดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1284/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและการพิสูจน์ความผิดฐานขายยาเสพติด: พยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือและการละเลยโอกาสจับกุม
หากพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาดักซุ่มดูพฤติการณ์ ของจำเลยโดยเจตนาที่จะจับกุมจำเลย เพราะได้รับรายงานจาก สายลับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ขายเมทแอมเฟตามีน เมื่อเห็นจำเลย ส่งมอบห่อของให้ ล. โดยมีพฤติการณ์ลักลอบซ่อนเร้นซึ่งพยานก็คิดว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ล. ตามที่สายลับแจ้งจริง พยานก็ควรเข้าจับกุมจำเลยพร้อม ล. ทันทีข้อที่พยานอ้างว่าเหตุที่ยังไม่เข้าจับกุมทันทีเนื่องจาก ล. นำห่อกระดาษซุก ไว้ที่ทรวงอกจึงไม่สะดวกแก่การค้นตัวผู้ถูกจับกุม ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมตัว ผู้ถูกจับกุมไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจหญิงค้นที่สถานีตำรวจ หรือเรียกให้มาค้นในที่เกิดเหตุก็ได้ การที่พยานละโอกาส ปล่อยให้ ล. และจำเลยแยกย้ายกันไปแล้วจึงติดตามไปจับกุมล. และต่อมาล่วงเลยมาถึง 2 เดือนเศษ จึงจับกุมจำเลยเป็นข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีน ให้ ล. จริงหรือไม่ ทั้งภายหลังจับกุม ล. แล้ว ในวันเดียวกับที่จับกุม ล. นั้น พยานได้พาพนักงานสอบสวนไปตรวจค้นบ้านร้างและบ้านจำเลย ก็พบจำเลยอยู่ที่บ้านของ จำเลยด้วย แต่ไม่พบเมทแอมเฟตามีนหรือสิ่งผิดกฎหมายอื่นที่บริเวณบ้านจำเลยหรือที่ตัวจำเลย ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้มีและขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสงสัยในมูลหนี้เช็ค: การคืนทรัพย์สินก่อนเช็คปฏิเสธ ทำให้หนี้ไม่ชัดเจน ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ช. ซื้อเครื่องประดับจากผู้เสียหายและค้างชำระราคาอยู่ 700,000 บาท จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทจำนวนเงิน250,000 บาท กับเช็คอีก 2 ฉบับ จำนวนเงิน 450,000 บาทให้ผู้เสียหายเพื่อชำระหนี้ค่าเครื่องประดับที่ ช.ซื้อจากผู้เสียหาย ซึ่งเครื่องประดับที่ซื้อมีแหวนเพชร 5 วงกำไลเพชร 3 วง จำเลยได้คืนกำไลเพชรให้ 1 วงแล้วแต่ไม่ได้ความแจ้งชัดว่าเครื่องประดับแต่ละชิ้นมีราคาเท่าใดกำไลเพชรที่จำเลยคืนให้นั้นราคาเท่าใด เมื่อคืนกำไลเพชรแล้วเป็นการหักหนี้จำนวนเท่าใด และเป็นการคืนก่อนหรือหลังจากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ดังนั้น กรณีอาจเป็นได้ว่าจำเลยคืนกำไลเพชรให้ก่อนที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งทำให้หนี้ลดลงและมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนเงินในเช็คพิพาทแต่โจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้ได้ความชัดว่าหนี้ตามเช็คพิพาทยังมีอยู่ นับว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับตามกฎหมายได้หรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1029/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดความรับผิดของผู้กระทำความผิดทางอาญาจากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และคำให้การของผู้เสียหาย
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายนอนไม่หลับจึงลุกจากเตียงไปเปิดไฟฟ้าแต่ยังไม่ทันเปิดจำเลยก็เข้าไปอยู่ในห้องนอนและอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 1 เมตร ในมือถือมีดและเดินเข้าจะรวบลำตัวของผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายยกมือซ้ายขึ้นกันคมมีดที่จำเลยถือจึงบาดนิ้วมือและเข่าของผู้เสียหายผู้เสียหายร้องขอความช่วยเหลือก็มีเสียงตอบรับ จำเลยตกใจและวิ่งไปเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก จำเลยจึงวิ่งย้อนกลับไปยังหน้าต่างที่ใช้ปีนเข้ามา จำเลยวิ่งอยู่ในห้อง กลับไปกลับมาและฉายไฟฉายด้วย ปรากฏว่าไฟฉายที่ส่องไปกระทบกระจกตู้เสื้อผ้าที่ตั้งไว้ในห้องนอนซึ่งใช้เป็นที่กั้น เป็นห้องนอนในตัวซึ่งมีช่องกระจกใสอยู่ 5 ช่องเพื่อหาทางหนีอย่างฉุกละหุก แม้ไม่ตั้งใจส่องไฟไปกระทบบานกระจกแต่บานกระจกเหล่านั้นตั้งอยู่ในระยะใกล้ การส่องไฟหาทางหนีเป็นธรรมดาที่ต้องส่ายลำแสงไฟไปทั่วย่อมจะเกิดแสงสว่างสะท้อนกลับทำให้ผู้เสียหายเห็นคนร้าย นอกจากนี้ยังปรากฏว่าผู้เสียหายสามารถเห็นไฟฉายที่คนร้ายถืออยู่นั้นว่าเป็นไฟฉายใช้ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน และมีดที่คนร้ายถือยาว 1 คืบเศษสีขาวลักษณะเป็นมีดพกบ่งชัดว่าผู้เสียหายสามารถเห็นความยาวของมีด หากมีดที่ถือไม่ยาวเป็นคืนก็ไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลที่มือผู้เสียหายยาว 2.5 เซนติเมตร มีดที่ผู้เสียหายเบิกความถึงจึงสอดคล้องลักษณะการใช้ ทั้งผู้เสียหายสามารถระบุเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมว่าเป็นเสื้อสีเทาลักษณะเสื้อทหารและสวมกางเกงสีดำ ทำให้เชื่อว่ามีแสงสะท้อนสว่างพอที่จะเห็นหน้าคนร้าย ประกอบกับจำเลยเป็นญาติและมีบ้านอยู่ห่างบ้านเกิดเหตุประมาณ 150 เมตร ผู้เสียหายจึงรู้จักจำเลยมาก่อนและจำจำเลยได้เป็นอย่างดี เพราะมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กันย่อมมองเห็นรูปร่างหน้าตาเป็นประจำ แม้แสงสว่างที่ส่องเป็นเพียงแสงสะท้อนก็เชื่อว่ามีแสงเพียงพอที่ผู้เสียหายจะเห็นและจำคนร้ายได้ วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายระบุตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายและเจ้าพนักงานตำรวจไปจับในวันรุ่งขึ้นนั้นเองกับได้บันทึกพฤติการณ์แห่งการกระทำของคนร้าย ทั้งระบุชื่อของจำเลยว่าเป็นคนร้ายด้วย แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ระบุชื่อคนร้ายในทันทีต่อผู้ที่ไปที่เกิดเหตุ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า คนร้ายไม่ใช่จำเลยจึงไม่ใช่เหตุที่จะทำคำให้การและคำเบิกความของผู้เสียหายเสียไป ทั้งในเวลาเย็นของวันที่จำเลยถูกจับนาง พ. ภริยาจำเลยและญาติของจำเลยไปเจรจากับผู้เสียหายโดยตกลงชำระค่าเสียหายให้จำนวน 5,000 บาท หากจำเลยไม่ใช่คนร้ายภริยาและญาติของจำเลยก็ไม่จำต้องไปเจรจาชำระค่าเสียหายแม้ผู้ไปเจรจาไม่ใช่จำเลยแต่ก็มีภริยาจำเลยและญาติสนิทรวมอยู่และเจรจาเพื่อประโยชน์ของจำเลยโดยยอมชำระเงินจำนวนไม่น้อย พยานหลักฐานของโจทก์สมเหตุสมผลสอดคล้องกับพยานแวดล้อม พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานยืนยัน จำเลยร่วมปล้นทรัพย์ พยานระบุตัวได้ ชี้ตัวได้ และหลบหนีหลังเกิดเหตุ
แม้ผู้เสียหายจะเบิกความว่าขณะเกิดเหตุมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายชัดเจนอยู่นานพอสมควรจึงจำคนร้ายได้แต่ขณะเบิกความคดีนี้จำคนร้ายไม่ได้เพราะเวลาล่วงเลยมานานถึง 5 ปีเศษแล้วก็ตาม แต่ผู้เสียหายเคยเบิกความไว้ในคดีอาญาก่อนว่าในคืนเกิดเหตุจำคนร้ายได้ 1 คน ทราบชื่อภายหลังว่า ชื่อ อ.และได้ชี้บุคคลที่ศาลทำเครื่องหมายดอกจันไว้ในภาพถ่ายในคดีดังกล่าวประกอบคำเบิกความว่าคือ อ.จำเลยคดีนี้ ซึ่งจำเลยก็ยอมรับว่าบุคคลที่ศาลทำเครื่องหมายดอกจันไว้ในภาพถ่ายคือจำเลย จึงมีเหตุให้น่าเชื่อว่าขณะเกิดเหตุพยานจำคนร้ายได้ว่าเป็นจำเลยและสามารถชี้ภาพถ่ายจำเลยได้ถูกต้อง ส่วนประจักษ์พยานโจทก์อีก 3 ปาก เป็นเจ้าพนักงานตำรวจที่ออกตรวจท้องที่ในคืนเกิดเหตุก็เพราะได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนร้าย ซึ่งในภาวะและพฤติการณ์เช่นนั้นประจักษ์พยานย่อมมีความระมัดระวังต่อเหตุการณ์ทุกขณะ การที่รถแล่นมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่เปลี่ยวและมีคนออกมายืนข้างถนนส่องไฟฉายขึ้นลงเป็นสัญญาณ ให้รถหยุดย่อมมีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าอาจจะเป็นคนร้ายที่มาดักปล้นรถยนต์ทั้งคนร้ายที่ส่องไฟฉายให้สัญญาณรถยนต์ซึ่งกระทำอยู่หน้ารถย่อมจะหันหน้าเข้าหารถและแสงไฟจากหน้ารถ ก็จะส่องไปที่หน้าคนร้าย ประจักษ์พยานทั้งสามซึ่งคอยระมัดระวังเหตุอยู่แล้วย่อมสนใจมองไปที่คนร้ายที่ส่องไฟฉายว่าจะเป็นพวกที่มาดักปล้นรถหรือไม่ เพราะขณะนั้นก็มีรถจักรยานยนต์จอดอยู่คนละฟากถนน 1 คันและมีชายยืนอยู่ข้างรถ 2 คน แสงไฟหน้ารถที่ส่องสว่างก็สามารถเห็นได้ ตั้งแต่ระยะ 50 เมตรจนกระทั่งรถแล่นเข้าไปใกล้และจอดในระยะห่าง จากคนร้ายประมาณ 10 เมตร ในพฤติการณ์ดังกล่าวประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามย่อมมีโอกาสเห็นหน้าคนร้ายชัดเจน ประกอบกับประจักษ์พยานโจทก์ต่างก็รู้จักจำเลยดีเพราะเคยจับกุมจำเลยมาก่อน ดังนั้น ที่ประจักษ์พยานยืนยันว่า จำหน้าคนร้ายที่ส่องไฟฉายขึ้นลงเป็นสัญญาณให้หยุดได้ว่าเป็นจำเลยและชี้ตัวจำเลยในชั้นสอบสวนได้ถูกต้องด้วยจึงน่าเชื่อถือนอกจากนี้ ในคืนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจได้ยิงต่อสู้กับคนร้ายด้วย ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจก็ติดตามจับ ส. ได้เพราะถูกยิงได้รับบาดเจ็บไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล แสดงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ทราบชื่อคนร้ายตั้งแต่คืนเกิดเหตุจึงช่วยสนับสนุนให้คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งขึ้น อนึ่ง หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปนานถึง 5 ปีเศษ นับว่าเป็นพิรุธ ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ก็เป็นการนำสืบลอย ๆ มีน้ำหนักน้อยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฟังได้ว่าจำเลย กับพวกได้ร่วมกับ ส. กระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพในชั้นสอบสวนที่ไม่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐานอื่น ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมกรณีมาเบิกความให้เห็นว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายคงมีแต่ ก. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นผู้นำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยไปพบพยานที่บ้านแจ้งความประสงค์จะเข้ามอบตัว พยานจึงนำตัวจำเลยไปมอบให้จ่าสิบตำรวจตรี ส.ซึ่งจ่าสิบตำรวจตรีส. เบิกความว่าเมื่อ ก. นำตัวจำเลยไปมอบให้นั้น จำเลยรับว่าเป็นผู้ใช้ปืนยิงผู้ตายจริง เพราะสำนึกผิดและเกรงว่าญาติผู้ตายจะทำร้ายจึงขอเข้ามอบตัว เจ้าพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยให้การรับสารภาพ นำชี้ที่เกิดเหตุและให้ถ่ายรูปประกอบคำรับสารภาพดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวคงมีแต่คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวน คำให้การชั้นสอบสวนซึ่งระบุว่าจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและรับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายถึงแก่ความตายกับบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุภาพถ่ายประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้น ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางที่ใช้ยิงผู้ตายมาเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้ตาย อันจะทำให้ลักษณะบาดแผลของศพผู้ตายสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย พยานที่โจทก์นำสืบมาจึงขาดวัตถุพยานที่ใช้ในการกระทำความผิดคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาที่จะนำมาฟังลงโทษจำเลยได้นั้น โจทก์จะต้องมีพยานประกอบมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดจริงทั้งพยานประกอบต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนหรือพยานที่ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนแม้โจทก์จะมี ก. ผู้ใหญ่บ้านซึ่งนำตัวจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนมาเบิกความ แต่คำเบิกความของพยานดังกล่าวไม่สอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวน ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนนั่นเอง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองฝิ่นเพื่อจำหน่าย: พยานหลักฐานเชื่อมโยงจำเลยกับสถานที่และเจตนา
จำเลยเป็นผู้เช่าแพปลาอันเป็นสถานที่ค้นพบฝิ่นของกลางโดยลักษณะแพปลาที่เกิดเหตุนั้นสภาพภายนอกก่อสร้างด้วยอิฐบล็อกและอีกส่วนหนึ่งเป็นกำแพง ซึ่งอยู่ในสภาพที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ มีประตูเข้าออกได้สองทาง ประตูหน้าเป็นประตูเหล็กปิดไว้อย่างแน่นหนาและใส่กุญแจไว้ ส่วนประตูอีกด้านหนึ่งปิดตายไว้ซึ่งจะเปิดจากด้านนอกไม่ได้ต้องเปิดจากด้านในเท่านั้น ในวันที่ตรวจค้นนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้งัดกุญแจก่อนแล้วจึงเข้าไปได้ แสดงให้เห็นว่าแพปลาที่เกิดเหตุนี้บุคคลอื่นไม่สามารถเข้าไปได้โดยลำพังเพราะสถานที่มิดชิดแน่นหนากับใส่กุญแจที่ประตูเหล็กด้านหน้าด้วย ดังนั้น จึงมีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่าฝิ่นดิบของกลางที่ค้นพบในแพปลา เป็นของจำเลยโดยจำเลยมีไว้ในครอบครองจำนวนมากเพื่อนำไปจำหน่ายจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธปืน: พยานยืนยันตัวผู้กระทำผิดจากลักษณะรูปร่างและคำให้การรับสารภาพ
แม้จำเลยจะสวมหมวกไหมพรมสีดำปิดหน้าถึงบริเวณคิ้วแต่สามารถเห็นหน้าและพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ขู่บังคับพยานจำหน้าจำเลยได้แม่นยำ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟนีออนและสปอทไลท์ เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ประกอบกับก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยได้มาคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ขอทำงานอยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ได้เดินทางไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ตู้ยามพร้อมกับยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลยพยานทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามที่เป็นจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมี ท.พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า เมื่อจับกุมจำเลยได้แล้วได้แจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้อื่นและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อท. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ ที่จำเลยนำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจบอกให้ลงลายมือชื่อแล้วจะกันไว้เป็นพยานโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังเมื่อฟังคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนประกอบคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามแล้ว เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีพยายามฆ่า: พยานหลักฐานแน่นชัด โจทก์ให้การรับสารภาพ ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะจับกุมจำเลยได้ภายหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 2 ปีก็ตาม แต่โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองและ อ.เบิกความเป็นพยานตรงกันว่า คืนเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองอ.และว. นั่งดื่มสุรากันอยู่ที่ร้านค้า จำเลยเดินเข้ามาหาผู้เสียหายที่ 1 พร้อมจ้องอาวุธปืนไปที่หน้าอกผู้เสียหายที่ 1 แล้วยิงทันที 3 นัด แต่กระสุนปืนไม่ลั่นผู้เสียหายที่ 2 และ อ. วิ่งเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากจำเลยแล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น ผู้เสียหายที่ 2 ถูกกระสุนปืนที่ศีรษะขณะนั้นจำเลยยืนห่างผู้เสียหายทั้งสองและ อ. ประมาณ3 เมตร ในบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้านีออนขนาด 40 แรงเทียนอยู่ที่หน้าร้านเกิดเหตุ ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 3 เมตรแสดงว่าในที่เกิดเหตุมีแสงสว่างเพียงพอที่ทำให้ผู้เสียหายทั้งสอง และ อ. เห็นหน้าจำเลยได้ชัดเจน ทั้งผู้เสียหายที่ 1และ อ. รู้จักจำเลยมาก่อน นอกจากนี้ภายหลังเกิดเหตุแล้วในวันรุ่งขึ้นซึ่งแทบจะทันทีทันใดกับเหตุเกิดแล้วสด ๆผู้เสียหายที่ 2 ไปแจ้งความระบุว่า จำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสอง หากผู้เสียหายที่ 2 จำจำเลยไม่ได้ก็คงจะไม่ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้เป็นแน่จึงเชื่อว่าผู้เสียหายทั้งสองและ อ. จำจำเลยได้ ส่วน ก.และ ร. เป็นพนักงานสอบสวนผู้ร่วมจับกุมจำเลยเบิกความว่าได้แจ้งข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นแก่จำเลย จำเลยให้การรับสารภาพโดยมีผู้เสียหายทั้งสอง และ อ. ชี้ตัวต่างก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายเมื่อ ก. และ ร. พยานโจทก์ต่างก็เป็นเจ้าพนักงานของรัฐมีหน้าที่สืบสวน ตรวจค้น จับกุมและสอบสวนผู้กระทำความผิดกฎหมายได้ปฏิบัติงานไปตามอำนาจหน้าที่ทั้งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะแกล้งกล่าวหาจับกุมและสอบสวนจำเลย อีกทั้งจำเลยได้ให้การถึงเหตุการณ์นับแต่จำเลยกับพวกออกจากบ้านจนใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองแล้วหลบหนีไป แสดงว่าจำเลยให้การรับสารภาพด้วยความสมัครใจมิได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจขู่เข็ญบังคับ ตามพฤติการณ์พยานหลักฐานโจทก์เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริง พยานจำเลยไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม และมาตรา 8 ทวิ,72 ทวิ วรรคสองจำคุกกระทงละ 1 ปี และ 6 เดือนตามลำดับ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน ดังนี้การที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอ ชี้มูลความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
คำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างออกจากที่ทำงานของน้องชายไปลงที่ปากซอยประชาอุทิศ 33 ขณะที่ผู้เสียหายกำลังลงจากรถจักรยานยนต์ได้พบกับจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 บอกให้ผู้เสียหายหยุด แล้วเข้าไปจับมือผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 1กอดผู้เสียหายทางด้านหลัง จากนั้นจำเลยที่ 2 ล้วงเอาหนังสือเดินทางและเงินสด 5,800 บาทของผู้เสียหายจากกระเป๋าเสื้อ กับดึงแว่นตาและถอดนาฬิกาไป ทั้งพูดว่าจะเอาตัวผู้เสียหายไปด้วย ผู้เสียหายกลัวจึงร้องขอความช่วยเหลือและดิ้นจนหลุด วิ่งหลบหนีเข้าไปในซอยโดยถอดรองเท้าแตะทิ้งไว้นั้น คงมีแต่ตัวผู้เสียหายเท่านั้นที่ยืนยันถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น น้องชายของผู้เสียหายและ ช. ซึ่งเป็นพยานแวดล้อมที่สำคัญ โจทก์มิได้นำตัวมาเบิกความสนับสนุนเพื่อให้สมตามคำอ้างของผู้เสียหายปรากฏว่าขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ทั้งสถานที่เกิดเหตุอยู่ในแหล่งชุมชนมีประชาชนเดินผ่านไปมาตลอดและเป็นคิวรถจักรยานยนต์รับจ้าง หากจำเลยทั้งสองลงมือกระทำความผิดดังที่ผู้เสียหายเบิกความก็น่าจะมีคนเห็น และสามารถอ้างบุคคลที่รู้เห็นมาเป็นพยานได้ไม่ยาก ประกอบกับผู้เสียหายแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าพนักงานทราบและขอให้ไปจับจำเลยทั้งสองภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 8 วัน ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุพิเศษใดจึงปล่อยให้เนิ่นช้าถึงขนาดนั้น ทั้งที่ผู้เสียหายรับว่ารู้จักจำเลยที่ 2 เป็นอย่างดีตั้งแต่อยู่ที่ประเทศอินเดีย น่าจะทราบที่อยู่ของจำเลยที่ 2 ได้และควรรีบดำเนินการเพื่อจับจำเลยทั้งสองทันที นอกจากนี้ทรัพย์สินที่ผู้เสียหายอ้างว่าถูกจำเลยทั้งสองชิงไปนั้นก็หาได้ยึดคืนมาไม่เว้นแต่รองเท้าแตะของกลาง ซึ่งตามรูปเรื่องข้อเท็จจริงอาจจะเป็นไปดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ว่าวันเกิดเหตุผู้เสียหายนัดจำเลยที่ 2 ไปรับเงินที่ยืม 5,000 บาทโดยจำเลยที่ 2 ชวนจำเลยที่ 1 ไปด้วย แต่ผู้เสียหายกลับขอผัดผ่อน จำเลยที่ 2 ไม่ตกลง และขอให้ผู้เสียหายไปเจรจากันที่บ้าน ผู้เสียหายไม่ยอมวิ่งหลบหนีไปโดยทิ้งรองเท้าแตะไว้ จำเลยทั้งสองจึงเก็บรองเท้าแตะเพื่อส่งคืนให้ผู้เสียหายในวันหลังก็ได้ เช่นนี้ เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงยังไม่อาจเชื่อได้โดยสนิทใจว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิด กรณีมีเหตุควรสงสัยให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
of 119