คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 227

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 88/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีอาญา: การพิจารณาความพิรุธและข้อสงสัยในพยานหลักฐาน
ในคืนวันเกิดเหตุจำเลยว่าจ้างป. ให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่คลองเตยตกลงราคากันอยู่นานประมาณ 2 นาทีไม่ได้ความว่า ป.ได้สังเกตตำหนิรูปพรรณของจำเลยว่ามีลักษณะพิเศษอย่างไร ทั้งสถานที่จอดรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ป.จอดรถอยู่ข้างวัดอยู่ห่างจากประตูซุ้มถึง 200 เมตรแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ประตูซุ้มน่าจะส่องมาไม่ถึง นอกจากนี้ระหว่างทางที่ ป.ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งคนร้ายก็ไม่ปรากฏว่าได้พูดคุยหรือหันมามองหน้าคนร้ายแต่อย่างใดน่าเชื่อว่าตอนที่คนร้ายไปว่าจ้างให้ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งป.คงเห็นหน้าคนร้ายไม่ชัดเจนปรากฏว่า ป.รูปร่างสูงใหญ่มีร่างกายแข็งแรงกว่าจำเลยซึ่งมีรูปร่างผอมสูงและเป็นคนติดยาเสพติด ตามสภาพไม่น่ามีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อย ป.จนล้มลงจากรถจักรยานยนต์และจำเลยคงไม่กล้าเสี่ยงกระทำการดังกล่าวเป็นแน่ ประกอบกับภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจให้ ป. ไปขอหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถมาร้องทุกข์ แต่ ป. กลับนำหนังสือมอบอำนาจมาให้เป็นเวลาภายหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 วัน ทำให้ ป.มีเวลาปรุงแต่งลักษณะตำหนิรูปพรรณของคนร้ายก็เป็นได้เมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธโดยอ้างฐานที่อยู่มาตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีพิรุธและมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 87/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์การร่วมกันปล้นทรัพย์: ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคลและคำรับสารภาพ
พยานจำคนร้ายว่าเป็นจำเลย และ ม.เพราะรู้จักมาก่อนและเห็นโดยอาศัยแสงตะเกียงที่ศีรษะไว้ส่องเวลากรีดยางซึ่ง ย่อมส่องสว่างพอให้มองได้ชัดในระยะ 3 ถึง 5 เมตร หลังเกิดเหตุ ได้ไปบ้าน ท. พ่อตาของจำเลยบอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่งทันที ท. ขอร้องไม่ให้แจ้งความ รับจะจัดการเองและจะจ่ายค่าเสียหายให้ส่วน จ. ซึ่งเป็นกำนันได้แจ้งวันเกิดเหตุจากผู้เสียหายว่าถูกคนร้ายลักทรัพย์จึงถามเรื่องคนร้าย ท. บอกว่าจำเลยเป็นคนร้ายและรับปากว่าจะเจรจาเรียกค่าเสียหายให้ผู้เสียหายยินยอม ทั้งจำเลยเข้ามอบตัว ให้การรับสารภาพ และนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ที่เกิดเหตุ ถ่ายรูปไว้ ประกอบกับจำเลยให้การในชั้นสอบสวนอย่างละเอียด เป็นเรื่องที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลยโดยเฉพาะยากที่ พนักงานสอบสวนจะเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเองได้ พยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ผู้เสียหายจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีชิงทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ และการยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ขณะที่คนร้ายขับจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้สังเกต เมื่อคนร้ายหยุดรถผู้เสียหายไม่สนใจว่า จะหยุดรถทำไมจนกระทั่งคนร้ายลงจากรถจักรยานยนต์ เข้ามาตบที่กกหูด้านซ้ายของผู้เสียหายแล้วกระชากสร้อยคอทองคำไป ผู้เสียหายไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์ในระยะเวลากะทันหันเช่นนั้น ผู้เสียหายเป็นผู้หญิงย่อมตกใจกลัวเป็นธรรมดา ทั้งได้ความว่าเมื่อถูกตบแล้วรู้สึกมึนงงดังนั้น ที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำจำเลยได้จึงเป็นที่น่าสงสัยอยู่ส่วนที่อ้างว่าจำจำเลยได้เพราะจำเลยสวมกางเกงขาสั้นสีดำและเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงินนั้นก็ไม่ปรากฏว่าเสื้อยืดที่คนร้ายสวมใส่มีลักษณะพิเศษหรือจุดเด่นที่จะทำให้จดจำได้ง่ายทั้งเป็นเสื้อผ้าธรรมดาที่คนทั่วไปสวมใส่กัน เมื่อผู้เสียหายตามไปพบจำเลยและได้กล่าวหาจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ กระชากสร้อยคอทองคำไป ผู้เสียหายจงให้ พ. ไปตามเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งในช่วงระยะเวลานี้ถ้าจำเลยเป็นคนร้ายจริงจำเลยย่อมหลบหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่อยู่รอให้เจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมจำเลยเป็นแน่ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาทั้งของกลางก็ไม่ได้จากตัวจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานยืนยันตัวผู้กระทำผิดในคดีทำร้ายร่างกาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
สถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่มีการจัดงานรื่นเริงเชื่อว่าจะต้องมีแสงสว่างมากกว่าปกติหลังเกิดเหตุ พ.ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีพร้อมทั้งระบุตัวจำเลยว่า เป็นคนร้ายที่ใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายแม้ผู้เสียหายกับ พ. ประจักษ์พยานจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็ไม่ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนอันจะทำให้มีความระแวงว่าจะเกิดมีการกลั่นแกล้งกันได้ เชื่อว่า พยานเบิกความตามที่ได้รู้เห็นมา ส่วนจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าคนร้ายที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมีรูปร่างคล้ายจำเลยชื่อ ผ. นั้น จำเลยก็หาได้นำสืบให้เห็นว่าในคืนเกิดเหตุมีพฤติการณ์ใดที่ชวนให้มีการเข้าใจผิดว่าจำเลยคือ ผ.จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งหลังเกิดเหตุใหม่ ๆจำเลยก็หาได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึงเรื่องที่บุคคลอื่นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายจำเลยไว้ไม่ ส่วนการที่จำเลยยืนถือมีดปลายแหลมแล้วตรงเข้าเอาด้ามมีดเคาะที่ศีรษะผู้เสียหายแล้วพูดว่า "เก่งที่อื่นได้ แต่อย่ามาเก่งที่นี่"หาใช่เป็นการที่ผู้กระทำผิดรอให้ผู้อื่นเห็นหน้าอันเป็นการผิดปกติวิสัยดังที่จำเลยฎีกาไม่หากแต่เป็นเพราะความชะล่าใจของคนร้ายบางคนที่คิดว่าไม่มีผู้ใดจะกลัวว่ากล่าวเอาโทษแก่ตนได้และแม้ อ. พยานโจทก์จะเบิกความว่าพยานไม่ได้ออกบัตรเชิญจำเลยและไม่เห็นจำเลยในวันงานนั้นก็มิใช่เป็นข้อที่จะรับฟังได้เด็ดขาดว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในวันงานนั้นเพราะ อ. ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านต้องดูแลต้อนรับผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก ในงานมีทั้งภาพยนต์และดนตรีย่อมจะมีคนเข้ามาร่วมชมซึ่งอาจเป็นคนแถวบริเวณนั้นรวมอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่ได้รับเชิญ พยานจำเลยนอกจากนี้ล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันและเป็นพี่จำเลยย่อมเบิกความเป็นประโยชน์แก่จำเลยเป็นธรรมดา พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าหรือไม่: ศาลพิจารณาพฤติการณ์และระยะทางในการทำร้าย เพื่อวินิจฉัยความผิดฐานพยายามฆ่า
ขณะเกิดเหตุ จ. และ ร. ต่างถือมีดพร้าซึ่งยาวประมาณ 1 วา อยู่ในมือ จ. อยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ2 วาเท่านั้น หาก จ. และ ร. ต้องการฆ่าผู้เสียหายจริงระยะที่อยู่ห่างกันเพียงนี้ จ. น่าจะฟันถูกผู้เสียหายแม้ จ. ฟันไม่ถูกเพราะผู้เสียหายหลบ จ. และ ร. ก็ย่อมมีโอกาสใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายได้ แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่า จ. และ ร. ใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหายอีกแม้โจทก์อ้างว่าขณะนั้นผู้เสียหายตกอยู่ในภยันตรายต่อชีวิตย่อมตกใจกลัวและวิ่งหนีอย่างสุดแรงจึงรอดพ้นจากการถูกพวก ของจำเลยฟันก็ตาม แต่ขณะนั้นผู้เสียหายนุ่งผ้าถุงและผู้เสียหายเป็นผู้หญิง อายุถึง 42 ปีเศษ ซึ่งตามสภาพย่อมวิ่งหนีไม่ถนัดและรวดเร็วมากนักทั้งระยะทางที่ผู้เสียหายวิ่งหนีจากบริเวณที่เกิดเหตุถึงบริเวณที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจอดไกลถึง 27 เมตร ระยะทางดังกล่าวหาก จ.และ ร. เจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่แรก บุคคลทั้งสองก็พร้อมจะวิ่งไล่ทันผู้เสียหายและฟันถูกผู้เสียหายอย่างแน่นอนแต่บุคคลทั้งสองมิได้ฟันผู้เสียหายอีก ย่อมแสดงว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย น่าเชื่อว่าบุคคลทั้งสองมีเจตนาจะฟันขู่ผู้เสียหายเท่านั้น แม้จะได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายและเด็กหญิง พ. ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยร้องบอกให้จ. และ ร. ฆ่าผู้เสียหาย แต่เมื่อ จ. ฟันขู่ฆ่าผู้เสียหายเพียง 1 ครั้ง ส่วน ร. มิได้ฟันผู้เสียหายแต่อย่างใด คดีฟังได้ว่าการที่จำเลยร้องดังกล่าวเป็นเพียงการขู่ฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของรถที่ถูกยึด: พยานหลักฐานต้องสอดคล้องและน่าเชื่อถือ
รถจักรยานยนต์ของกลางที่ถูกยึดยังมีรายการจดทะเบียนรถแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถอยู่ ยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงรายการจดทะเบียนผู้เป็นเจ้าของรถเป็นชื่อผู้ร้องแต่อย่างใดทั้งปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถจักรยานยนต์ของกลางเป็นคนแรกและเพิ่งครอบครองเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2539ซึ่งเป็นการครอบครองก่อนที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้ร้องได้ซื้อรถของกลางจากจำเลยเพียง 8 วัน หากผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากจำเลยจริงก็ควรจะพูดจาตกลงให้เป็นที่แน่นอนว่าจะไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางกันเมื่อใด แต่ผู้ร้องก็มิได้ตกลงในข้อดังกล่าวทั้งข้ออ้างของจำเลยที่ว่าได้ขายรถยนต์ของกลางให้แก่ผู้ร้องเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ผู้อื่นที่จำเลยยืมมาซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางนั้น ก็เป็นคำเบิกความลอย ๆไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยยืมเงินจากใคร จำนวนเท่าใดทั้งจำเลยเพิ่งซื้อและนำรถจักรยานยนต์ของกลางไปจดทะเบียนเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2539 ไม่ปรากฏว่าผู้ที่ให้จำเลยยืมเงินได้ทวงถาม อันจะทำให้จำเลยต้องรีบร้อนขายรถจักรยานยนต์ของกลาง เพื่อนำไปชำระหนี้เงินยืมหลังจากที่ซื้อมาได้เพียง 8 วัน พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบว่าผู้ร้องซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจึงมีพิรุธ ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากจำเลย ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางอันแท้จริงที่จะมีสิทธิมาร้องขอคืนรถคันดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากพยานหลักฐานและการยืนยันความน่าเชื่อถือของผู้เสียหาย
เหตุเกิดในเวลากลางวันมีแสงสว่างเต็มที่ ผู้เสียหายเห็นจำเลยได้ชัดเจนในระยะใกล้ชิดและเป็นเวลานานพอสมควรทั้งได้ชี้ให้จับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 หลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน ในขณะที่ความจำของผู้เสียหายยังดีอยู่ทั้งผู้เสียหายได้บอกกับพนักงานสอบสวนมาตั้งแต่ต้นว่าจำคนร้ายได้ เชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้จริง ส่วนที่ผู้เสียหายมาแจ้งความ ล่าช้าไป 2 วันเป็นเพราะหลังเกิดเหตุแล้วได้ออกจากบ้านจะไปแจ้งความโดยอาศัยซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มารอรถยนต์โดยสารที่ปากทาง แต่รู้สึกไม่สบายมากมีไข้ขึ้นจึงขอให้ชาวบ้านช่วยนำกลับบ้าน ซึ่งในข้อนี้แพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายรับว่า ผู้เสียหายมีบาดแผลเล็กน้อยที่หัวไหล่และถูกไฟลวกที่ใบหน้า น่าเชื่อว่าเหตุที่ผู้เสียหายมาแจ้งความช้าเพราะเจ็บป่วยจริงหาได้เป็นพิรุธไม่ พยานหลักฐานที่อยู่ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7653/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงชำระหนี้ไม่เป็นยอมความ, การนำสืบพยานหลักฐานในคดีเช็ค
บันทึกข้อตกลงที่จำเลยและ ศ.ทำไว้แก่โจทก์เพื่อยืนยันและรับสภาพหนี้ระบุว่า จำเลยขอทำการตกลงกับโจทก์ว่าจะนำเงินมาชำระให้เสร็จตามจำนวนที่ลงในเช็คพิพาทภายใน 2 เดือน นับแต่วันทำหนังสือ เมื่อชำระเสร็จแล้วโจทก์ไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งอีกต่อไป หากไม่สามารถชำระได้อีกยินยอมให้โจทก์ดำเนินคดีตามเช็คดังกล่าวได้ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง และ ศ.ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวยินยอมสั่งจ่ายเช็คอีกฉบับหนึ่งซึ่งเป็นเช็คล่วงหน้าให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมและตามเช็คดังกล่าว เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระให้โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินได้ทันที บันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่เป็นการยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพราะยังมีเงื่อนไขที่ให้จำเลยชำระเงินคืนให้โจทก์เสร็จสิ้นก่อนโจทก์จึงจะไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย เมื่อจำเลยไม่ได้ชำระเงินคืนแก่โจทก์ และเช็คที่ ศ.บุตรจำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ให้โจทก์ถูก ศ.แจ้งธนาคารให้ระงับการจ่ายเงิน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องตามเช็คฉบับพิพาทของโจทก์จึงยังไม่ระงับ
ในคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 226 มาตรา 227 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการอ้างและการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานไว้โดยเฉพาะแล้วการที่จำเลยนำสืบถึงความเป็นมาแห่งหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลย จำเลยย่อมนำสืบได้ แม้จะเป็นการนำสืบหักล้างเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขเอกสารก็ตาม กรณีเช่นว่านี้จะนำ ป.วิ.พ.มาตรา 94มาใช้บังคับไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7601/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าไม่ปรากฏหลักฐาน เพียงยิงปืนในหมู่บ้าน ความผิดฐานพยายามฆ่าไม่สำเร็จ
การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นเบอร์ 12 ยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 15 เมตร หากจำเลยมีเจตนาฆ่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็น่าจะถูกผู้เสียหายหรือ ร. บ้างแต่ลูกกระสุนปืนก็หาได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดไม่ ไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนไปในทิศทางที่ใกล้กับผู้เสียหายหรือไม่อย่างไรหลังจากที่ผู้เสียหายเดินไปเพื่อแจ้งให้บิดาทราบก็พบจำเลยยกปืนวิ่งมาทางผู้เสียหายห่าง 20 เมตร แต่จำเลยก็หาได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายไม่ทั้งที่มีโอกาสจะกระทำเช่นนั้นได้ประกอบกับหลังจากที่ ส. ได้ยินเสียงปืนหันมาดูตะโกนบอกจำเลยว่า ทำอย่างนี้ทำไมให้รีบไป และ ส. กลับไปทำอาหารต่อ แสดงว่า ส. ก็มิได้ให้ความสนใจต่อการที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ผู้เสียหายกับจำเลยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันและเคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ไม่มีเหตุผลที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า หลังเกิดเหตุจำเลยก็มิได้หลบหนีคงอยู่ที่บ้านมารดาจำเลยในหมู่บ้านเดียวกันกับผู้เสียหาย ต่อมาได้เข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานตำรวจและผู้เสียหายก็มิได้ไปแจ้งความในวันเกิดเหตุทั้งที่สถานีตำรวจอยู่ห่างเพียง 20 กิโลเมตร และบิดาผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่เกิดเหตุก็มิได้ไปสอบถามจำเลย ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในหมู่บ้าน จำเลยจึงมีความผิดฐานยิงปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 376

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7490/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีอาญาที่ศาลต้องพิจารณาความชัดเจนของคำรับสารภาพและข้อหาที่ฟ้อง รวมถึงการแก้ไขคำพิพากษาที่ผิดพลาดด้านกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2496 มาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ เป็นคนละฐานความผิดกัน และมีบทกำหนดโทษแตกต่างกัน ทั้งตามคำฟ้องโจทก์แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาใดข้อหาข้อหนึ่งเพียงข้อหาเดียวดังนั้นจะลงโทษจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้อหาไม่ได้ คำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ที่ว่า ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการนั้นไม่ชัดเจนพอจะชี้ขาดว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดฐานใด และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบต่อไปให้ได้ความถึงข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 โดยชัดแจ้ง เพื่อศาลจะได้นำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาปรับบทลงโทษได้ และการที่ศาลจะเลือกปรับบทลงโทษจำเลยได้นั้นหมายถึงกรณีที่ข้อเท็จจริงในคดีเป็นอันยุติแล้วว่าจำเลยได้กระทำอย่างไร หากข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ชัดแจ้งแล้ว ศาลก็ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานใดหรือไม่เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลจะลงโทษจำเลยที่ 1 โดยอาศัยเพียงแต่คำรับสารภาพดังกล่าวหาได้ไม่ และคดีไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบถามคำให้การจำเลยที่ 1ใหม่ ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานมีไม้ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองมาด้วยนั้นเป็นการไม่ชอบ เพราะคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 69 อันเป็นมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดมาด้วย ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดข้อหาดังกล่าว ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
of 119