พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีปล้นทรัพย์โดยอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือและการชี้ตัวผู้ต้องหาที่มีพิรุธ
เหตุเกิดในเวลากลางคืนแม้บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าแต่ก็อยู่คนละฟากถนนห่างจากจุดที่ว.จอดรถจักรยานยนต์ถึง13เมตรส่วนจุดที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายและปลดทรัพย์อยู่ลึกเข้าไปในบริเวณป่าข้างทางไม่มีแสงสว่างส่องถึงคนร้ายเข้ามาล๊อกคอผู้เสียหายและว. ทางด้านหลังผู้เสียหายรับว่าขณะเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายส่วนว. ตกใจไม่ทันได้ฟังว่าคนร้ายพูดอะไรกับผู้เสียหายประกอบกับคนร้ายคนหนึ่งมีผ้าโพกศีรษะโอกาสที่ผู้เสียหายและว.จะเห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจนจึงมีน้อยมากทั้งพนักงานสอบสวนให้ผู้เสียหายและว. ดูตัวจำเลยก่อนการชี้ตัวดังนั้นการชี้ตัวของผู้เสียหายและว. จึงมีข้อพิรุธเมื่อไม่มีพยานโจทก์ปากใดรู้เห็นว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายอีกและปรากฏว่าจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นศาลพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 167/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือพยานเด็กในคดีอนาจาร และพฤติการณ์ครูผู้กระทำผิด
แม้โจทก์มีผู้เสียหายซึ่งมีอายุเพียง8ปีเศษเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวแต่เมื่อเบิกความถึงเหตุการณ์ที่จำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับตรงไปตรงมาปราศจากการปรุงแต่งตามประสาเด็กที่ไร้เดียงสาทั้งเรื่องราวหลังเกิดเหตุยังสอดคล้องเชื่อมโยงกันดีกับพยานอื่นทำให้เชื่อได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดในคดีพยายามฆ่า ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนบ้านที่เกิดเหตุไม่ได้เปิดไฟฟ้าไว้ต้องอาศัยแสงสว่างของไฟฟ้าจากบ้านที่อยู่ใกล้เคียงแต่ไม่ปรากฏว่าสามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้ไกลเพียงใดสำหรับไฟฟ้าที่เปิดอยู่ที่ปั๊มน้ำมันก็อยู่ห่างออกไปถึง50เมตรไม่น่าจะมีความสว่างพอให้มองเห็นคนร้ายได้ชัดเมื่อคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแล้วได้รีบวิ่งหลบหนีไปในทันที ผู้เสียหายย่อมไม่มีโอกาสได้สังเกตและจดจำหน้าคนร้ายได้ที่ผู้เสียหายได้เบิกความว่าระหว่างที่จำเลยวิ่งหลบหนีไปได้หันหน้ามามองผู้เสียหายจำได้ว่าเป็นจำเลยนั้นไม่น่าเชื่อและไม่สมเหตุผลผู้เสียหายเป็นคนพิการขาลีบเวลาเดินต้องใช้ไม้ค้ำยันเมื่อได้ยินเสียงปืนดังไม่น่าจะลุกได้ทันท่วงทีและเดินไปที่หน้าต่างได้ทันและมองเห็นจำเลยในขณะที่วิ่งหลบหนีหลังเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้ระบุตัวคนร้ายในทันทีทันใดพยานโจทก์นอกจากนี้ไม่ได้รู้เห็นจำเลยกระทำผิดเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมก็จับจำเลยตามคำบอกเล่าของผู้เสียหายไม่อาจฟังประกอบคำเบิกความของผู้เสียหายให้มีน้ำหนักขึ้นได้ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานและการยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีข่มขืน
คำเบิกความของผู้เสียหายที่อ้างว่าจำหน้าจำเลยซึ่งเป็นคนร้ายที่ข่มขืนกระทำชำเราตนเป็นคนที่สองได้ขัดกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนที่ว่าผู้เสียหายแจ้งว่าจำหน้าคนที่ข่มขืนไม่ได้และไม่รู้จักชื่อส่วนที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องนั้นก็เพราะผู้บังคับบัญชาของจำเลยนำจำเลยออกมาให้ผู้เสียหายชี้ตัวเพียงคนเดียวเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธตลอดมาตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนถึงชั้นศาลพยานหลักฐานโจทก์จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองเฮโรอีนและกัญชาเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาแก้โทษเฉพาะการครอบครองเฮโรอีน
เจ้าพนักงานตำรวจพบเฮโรอีนซึ่งอยู่ในถุงพลาสติก4ใบอยู่ในตะกร้าซึ่งวางไว้บนแคร่ไม้ใกล้จำเลยและยังพบเฮโรอีน9หลอดกับอีก1ถึงที่บริเวณร่องน้ำนอกบ้านห่างจากบ้านจำเลยประมาณ170เมตรพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังฟังไม่ได้อย่างแน่แท้ว่าเฮโรอีน9หลอดและอีก1ถุงนั้นเป็นของจำเลยคงฟังได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนในถุง4ใบซึ่งวางอยู่ในตะกร้าใกล้ตัวจำเลยไว้ในครอบครองเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอและคำรับสารภาพเกิดจากถูกขู่เข็ญ ศาลยกฟ้องคดีอาญา ฐานสงสัยว่าจำเลยกระทำผิด
โจทก์มีประจักษ์พยานมาเบิกความเป็นพยาน4ปากแต่มีบิดาผู้ตายเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายส่วนพยานนอกนั้นจำคนร้ายไม่ได้แต่คำเบิกความของบิดาผู้ตายขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่ระบุว่าไม่เห็นเหตุการณ์ขณะคนร้ายยิงผู้ตายอีกทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานอื่นก็เป็นคำบอกเล่าที่เป็นพิรุธยิ่งกว่าที่เบิกความในชั้นศาลประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นคำรับสารภาพที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจใช้ยันจำเลยทั้งสองไม่ได้พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 65/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำผิดฐานขายยาเสพติด: พยานหลักฐานต้องเชื่อมโยงถึงตัวจำเลย พยานบอกเล่าและการรับสารภาพที่ไม่สมัครใจมีน้ำหนักน้อย
จำเลยที่1เป็นสามีของจำเลยที่2โดยอาศัยอยู่บ้านเดียวกันขณะที่สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่2จำเลยที่2อยู่ใต้ถุนบ้านส่วนจำเลยที่1นอนอยู่บนบ้านและตรวจค้นยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้จากกระเป๋ากางเกงของเด็กที่แขวนอยู่ที่เสาใต้ถุนบ้านส่วนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็ยึดได้จากจำเลยที่2และระหว่างนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยที่1มีพฤติการณ์ที่ส่อแสดงว่าได้ร่วมกับจำเลยที่2กระทำความผิดแต่กลับเป็นผู้นำตรวจค้นบนบ้านโจทก์คงมีแต่คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่1ซึ่งให้การปฎิเสธในชั้นพิจารณาเป็นพยานบอกเล่าพนักงานสอบสวนดำเนินการไปฝ่ายเดียวโดยฝ่ายจำเลยที่1ไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านแม้ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแต่ก็มีน้ำหนักน้อยโจทก์จะต้องมีพยานอื่นมาสืบประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยที่1ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด (เมทแอมเฟตามีน) เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด โทษจำคุกตาม พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์
พยานโจทก์ทั้งสามไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยที่2มาก่อนเบิกความถึงพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายอย่างสอดคล้องเชื่อมโยงกันกอปรด้วยเหตุผลและจำเลยที่2ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนโดยสมัครใจคำรับสารภาพดังกล่าวย่อมใช้ยันจำเลยที่2ในชั้นพิจารณาได้และโจทก์ยังมีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่1ที่ให้การว่าจำเลยที่2มีส่วนร่วมในการกระทำผิดซึ่งแม้จะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำผิดด้วยกันแต่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังศาลมีอำนาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่2ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่1จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 63/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด: พยานหลักฐานแน่นหนา ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พยานโจทก์ทั้งสามผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องตรงกันยืนยันว่าได้แอบซุ่มดูขณะที่สายลับล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่1โดยสายลับเข้าไปพูดกับจำเลยที่1แล้วจำเลยที่1หันไปพูดกับจำเลยที่2จากนั้นจำเลยที่2เดินเข้าไปในถนนซอยสักครู่ก็กลับออกมาส่งถุงพลาสติกให้จำเลยที่1จำเลยที่1หยิบกล่องกระดาษจากถุงออกส่งให้สายลับสายลับส่งธนบัตรให้จำเลยที่2เมื่อสายลับให้สัญญาณและนำเฮโรอีนที่ล่อซื้อได้มามอบให้จึงเข้าตรวจค้นและจับจำเลยทั้งสองซึ่งเหตุที่จับจำเลยทั้งสองก็เพราะได้มีการสืบทราบและวางแผนจับกุมมาก่อนและที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ตัวผู้กระทำผิดจากการจดจำของผู้เสียหาย และความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน
เหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งซึ่งมีระยะเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะจำคนร้ายได้และเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยในเวลาต่อมาก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำจำเลยว่าเป็นคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวG โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่8กรกฎาคม2537เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีก1คนราคา4,500บาทร่วมกันชิงทรัพย์เงินจำนวน800บาทสร้อยคอทองคำหนัก2บาทราคา9,500บาทและสร้อยคอทองคำหนัก1บาทราคา4,500บาทรวมราคาทรัพย์14,800บาทของนางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายโดยจำเลยกับพวกใช้กำลังประทุษร้ายผลักผู้เสียหายล้มใช้อาวุธปืนขู่บังคับว่าทันใดนั้นจะยิงผู้เสียหายและจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะทั้งนี้เพื่อให้ความสะดวกแก่การชิงทรัพย์ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุมเหตุเกิดที่ตำบลไร่เก่าอำเภอปราณบุรีจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนราชบุรีน-3232ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,339,340ตรีริบของกลางให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรคสองประกอบมาตรา340ตรี,83จำคุก15ปีของกลางริบให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์14,800บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า"ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าวันที่8กรกฎาคม2537เวลาประมาณ11นาฬิกานางสำรวนเชื้อปรางผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปทำไร่เมื่อไปถึงทางแยกเข้าไร่ใหม่ก็จอดรถซื้อของเห็นจำเลยและพวก1คนนั่งอยู่เมื่อซื้อของแล้วผู้เสียหายขับรถไปตามถนนลูกรังขณะอยู่ห่างจากไร่ประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามทันผู้เสียหายและแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของผู้เสียหายทำให้รถจักรยานยนต์ทั้งสองคันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับห้ามมิให้ผู้เสียหายร้องจากนั้นพวกของจำเลยปลดเอาสร้อยคอทองคำหนัก2บาท1เส้นสร้อยคอทองคำหนัก1บาท1เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทไปจากกระเป๋ากางเกงของผู้เสียหายส่วนจำเลยเดินไปที่รถของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปจากนั้นพวกของจำเลยขับรถให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายหลบหนีผู้เสียหายไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลไร่เก่าเจ้าพนักงานตำรวจออกติดตามจำเลยกับพวกโดยสอบถามชาวบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทราบว่าจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านหนองแกจึงตามไปจนพบบ้านชั้นเดียวมีลักษณะคล้ายกระต๊อบหน้าบ้านประตูปิดเจ้าพนักงานตำรวจเคาะประตูเรียกอยู่ประมาณ10นาทีจำเลยเปิดประตูออกมาเมื่อเห็นเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยมีท่าทีตกใจกลัวเจ้าพนักงานตำรวจเห็นรถจักรยานยนต์ยี่ห้อซูซูกิสีดำไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนจอดอยู่จึงสั่งให้จำเลยนำรถจักรยานยนต์ออกมาตรวจสอบและถามจำเลยว่าขับรถจักรยานยนต์ไปไหนและให้ใครยืมรถจักรยานยนต์ไปใช้หรือไม่จำเลยบอกว่าไม่มีแต่เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจจับเครื่องยนต์ดูปรากฏว่าเครื่องยนต์ยังร้อนเป็นพิรุธจึงควบคุมตัวจำเลยไปให้ผู้เสียหายดูตัวเมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยและรถจักรยานยนต์ก็ชี้ตัวยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยโดยแจ้งข้อกล่าวหาว่าชิงทรัพย์ของผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนและยานพาหนะชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยนำสืบว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ8นาฬิกาจำเลยพาภริยาไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลกุยบุรีกลับจากโรงพยาบาลกุยบุรีเวลาประมาณ15นาฬิกาต่อมาเวลาประมาณ16นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจให้ผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยและค้นบ้านจำเลยผู้เสียหายดูแล้วแจ้งว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายแล้วค้นบ้านจำเลยแต่ไม่พบสิ่งของที่ผิดกฎหมายต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจผู้ค้นกลับมาค้นบ้านอีกครั้งขณะทำการค้นสิ่งของภายในบ้านจำเลยเสียหายจึงเกิดโต้เถียงกันเจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยมาดำเนินคดี พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้าย2คนชิงทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไปมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ11นาฬิกาพยานขับรถจักรยานยนต์ไปทำไร่ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ30กิโลเมตรเมื่อขับรถไปถึงบริเวณทางแยกเข้าไร่ใหม่ได้จอดรถเพื่อซื้อของพบจำเลยกับเพื่อนอีก1คนนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเมื่อซื้อของเสร็จแล้วพยานขับรถจักรยานยนต์เพื่อไปไร่พอจะถึงไร่ห่างกันประมาณ1กิโลเมตรพวกของจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้จำเลยนั่งซ้อนท้ายไล่ตามพยานมาทันขณะที่รถแล่นคู่กันจำเลยกระชากแขนขวาของพยานทำให้รถเสียหลักล้มทั้งสองคันจำเลยลุกขึ้นเดินเข้ามาหาพยานแล้วใช้อาวุธปืนสั้นจี้ขู่บังคับไม่ให้ร้องพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอทองคำ2เส้นและล้วงเอาธนบัตรจำนวน800บาทจากกระเป๋ากางเกงพยานไปต่อมาจำเลยได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของพยานแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจำเลยขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยหลบหนีพยานจำจำเลยและพวกของจำเลยได้เพราะจำเลยกับพวกไม่มีอะไรปกปิดใบหน้าพยานได้วิ่งไปหาสามีพยานที่ไร่แล้วพากันไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านจากนั้นผู้ใหญ่บ้านได้พามาแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลตลาดไร่เก่าเวลาประมาณ17นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจพาพยานไปดูตัวจำเลยที่บ้านหลังหนึ่งพยานจำได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายและเห็นรถจักรยานยนต์จอดอยู่บริเวณบ้านจำเลยจำได้ว่าเป็นรถที่จำเลยกับพวกใช้ในขณะเกิดเหตุปัญหาคงมีว่าผู้เสียหายจดจำคนร้ายได้แน่นอนเพียงใดเห็นว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ11นาฬิกาผู้เสียหายมีโอกาสเห็นจำเลย2ครั้งกล่าวคือก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเข้าไปซื้อของที่ร้านแห่งหนึ่งเห็นจำเลยกับพวกนั่งอยู่อีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กันขณะเกิดเหตุเมื่อรถจักรยานยนต์2คันล้มจำเลยเดินเข้าไปหาผู้เสียหายผู้เสียหายจึงมีโอกาสได้เห็นหน้าคนร้ายในระยะใกล้เมื่อคนร้ายไปถึงตัวได้ใช้อาวุธปืนจี้พร้อมทั้งห้ามผู้เสียหายมิให้ส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพวกของจำเลยเข้ามาปลดเอาสร้อยคอและล้วงเอาธนบัตรไปก่อนจำเลยจะหลบหนีจำเลยยังได้เดินไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายแล้วหยิบเอากุญแจรถไปด้วยจึงมีระยะเวลาที่ผู้เสียหายเห็นคนร้ายนานพอสมควรที่จะจำคนร้ายได้จึงเชื่อว่าผู้เสียหายจำคนร้ายได้แน่นอนไม่ผิดตัวที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเบิกความว่าเจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายไปดูตัวจำเลยที่บ้านแล้วชี้ให้พนักงานตำรวจจับจำเลยแต่จ่าสิบตำรวจชัยวัฒน์คีรีวัฒน์พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จับจำเลยกลับเบิกความว่ารับแจ้งเหตุแล้วออกติดตามคนร้ายไปหมู่บ้านหนองแกพบรถจักรยานยนต์จอดอยู่ที่บ้านจำเลยเครื่องยนต์ยังร้อนจึงเชิญจำเลยมาสถานีตำรวจพบผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยแล้วชี้จำเลยว่าเป็นคนร้ายเป็นการแตกต่างกันหาข้อยุติไม่ได้ว่าขณะเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยผู้เสียหายอยู่ด้วยหรือไม่เห็นว่าเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นเพียงพลความหาเป็นพิรุธทำให้คำเบิกความของผู้เสียหายมีน้ำหนักน้อยลงไม่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน