พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: พยานหลักฐานโจทก์ขัดแย้ง ไม่สามารถพิสูจน์การกระทำผิดของจำเลยได้
จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของอ.ว่าอ. ได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนจำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่าท. เพื่อนของจำเลยต้องการจะได้อ. จึงตกลงขายให้ท.ในราคา1,500บาทและมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ท. ไปดังนี้อ. มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากอ. โดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมาแต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อท. ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจากอ. โดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก800บาทการที่จำเลยให้ท. ยืมเงินไป800บาทนั้นถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใดเพราะท. ตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากอ. เองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขายนอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายกับต. และบ. ในทำนองเดียวกันอีกว่าเมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโทพ. ไปจับอ. ได้นั้นในตอนแรกอ. ได้บอกแก่สิบตำรวจโทพ. ทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียวและนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใดหากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนายต. ว่าที่สถานีตำรวจจำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางแต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก800บาทตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของอ. ว่าอ. นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตามแต่คำให้การของอ. เป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้านทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของอ. เองที่เบิกความว่าอ.ได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ท. เช่นนี้คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนักคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สอดคล้องต้องกันจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร - พยานหลักฐานไม่สอดคล้องกัน - จำเลยปฏิเสธ - ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
จากการนำสืบของโจทก์ได้ความจากคำเบิกความของ อ.ว่าอ.ได้ลักรถจักรยานยนต์คันเกิดเหตุมาให้จำเลยช่วยขายให้เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนจำเลยไม่ยอมช่วยขายแต่บอกว่า ท.เพื่อนของจำเลยต้องการจะได้ อ.จึงตกลงขายให้ ท.ในราคา 1,500 บาท และมอบรถจักรยานยนต์ให้แก่ ท.ไป ดังนี้ อ.มิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจาก อ.โดยจำเลยทราบว่ารถของกลางถูกลักมา แต่กลับได้ความว่าจำเลยไม่รับซื้อ ท.ซึ่งอยู่กับจำเลยด้วยในขณะนั้นจึงรับซื้อจาก อ.โดยได้ขอยืมเงินจากจำเลยไปอีก 800 บาท การที่จำเลยให้ ท.ยืมเงินไป 800 บาทนั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของกลางแต่อย่างใด เพราะ ท.ตกลงซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจาก อ.เองอยู่แล้วโดยไม่ต้องให้จำเลยช่วยขาย นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหาย กับต.และ บ.ในทำนองเดียวกันอีกว่า เมื่อผู้เสียหายนำสิบตำรวจโท พ.ไปจับ อ.ได้นั้นในตอนแรก อ.ได้บอกแก่สิบตำรวจโท พ.ทันทีว่าได้ลักรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายเพียงคนเดียว และนำไปขายที่อำเภอท่ามะกาโดยไม่ได้ระบุว่าขายให้แก่ผู้ใดหากขายให้แก่จำเลยก็น่าจะระบุชื่อจำเลยทันทีเพราะรู้จักกันโดยไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปิดบังไว้ ประการสำคัญได้ความจากคำเบิกความของนาย ต.ว่า ที่สถานี-ตำรวจ จำเลยบอกว่าจำเลยไม่ได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของกลาง แต่คนอื่นซื้อซึ่งเงินไม่พอต้องขอยืมจำเลยไปอีก 800 บาท ตรงกับที่จำเลยนำสืบต่อสู้ แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของ อ.ว่า อ.นำรถจักรยานยนต์ของกลางไปขายให้แก่จำเลยก็ตาม แต่คำให้การของ อ.เป็นเพียงพยานบอกเล่ามิได้ทำต่อหน้าจำเลย ซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ทั้งยังขัดแย้งกับคำเบิกความของ อ.เองที่เบิกความว่า อ.ได้ขายรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ ท.เช่นนี้ คำเบิกความของพนักงานสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนัก คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธมาตั้งแต่ต้นและพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาไม่สอดคล้องต้องกัน จึงไม่มีน้ำหนักพอฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำได้ตัวผู้กระทำผิดจากพยานผู้เสียหาย: การยืนยันรูปพรรณและของกลางที่ตรงกัน
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมองเห็นกันได้ชัดเจนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านผู้เสียหายไปแล้วกลับรถมาพูดคุยกับผู้เสียหายเป็นเวลานานพอสมควรที่ผู้เสียหายจะสังเกตและจำจำเลยได้เมื่อไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมตำรวจและแจ้งต่อพนักงานสอบสวนผู้เสียหายก็ยืนยันว่าจำคนร้ายได้และระบุรูปพรรณคนร้ายตลอดจนเสื้อผ้าที่คนร้ายสวมใส่โดยละเอียดก่อนจับจำเลยได้เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายนักโทษมาให้ผู้เสียหายดูผู้เสียหายว่าไม่ใช่คนร้ายต่อมาได้นำภาพถ่ายจำเลยในใบขับขี่รถจักรยานยนต์มาให้ดูผู้เสียหายจึงบอกว่าเป็นคนร้ายขณะตรวจค้นบ้านของจำเลยผู้เสียหายได้ชี้บอกถึงกระเป๋าสะพายผ้าร่มสีดำและเสื้อที่จำเลยสวมใส่วันเกิดเหตุตรงกับที่แจ้งความไว้แต่แรกให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางเชื่อได้ว่าผู้เสียหายจำจำเลยได้จริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1306/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: พยานเจ้าหน้าที่เชื่อถือได้, การต่อสู้เรื่องสถานที่จับกุมไม่มีน้ำหนัก
พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการไปตามหน้าที่ไม่มีเหตุที่จะเบิกความเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยที่1เชื่อได้ว่าเบิกความไปตามที่รู้เห็นจริงที่จำเลยที่1ต่อสู้คดีว่าจำเลยที่1ถูกจับที่บ้าน พ. และไม่ทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจนำเฮโรอีนของกลางมาจากไหนนั้นง่ายแก่การกล่าวอ้างจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างคำเบิกความพยานโจทก์ได้ ขณะจับกุมจำเลยที่1ได้ร่วมนั่งอยู่กับจำเลยที่2และที่3ในรถยนต์เก๋งที่มีเฮโรอีนของกลางซุกซ่อนอยู่แสดงให้เห็นได้โดยแจ้งชัดว่าจำเลยที่1ร่วมกับจำเลยที่2และที่3มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันปล้นทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ โดยจำเลยติดต่อผู้เสียหายเพื่อล่อลวงไปปล้นทรัพย์ พยานหลักฐานรับฟังได้ชัดเจน
จำเลยเป็นผู้มาติดต่อให้ผู้เสียหายทั้งสองไปบรรทุกทรายถึง2ครั้งแม้จะนานวันกันแต่ก็ติดต่อกันและอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันผู้เสียหายทั้งสองย่อมจดจำหน้าตาจำเลยได้เพราะมีการพูดคุยกันด้วยทั้ง2ครั้งเมื่อการเจรจาครั้งแรกไม่ตกลงจำเลยยังหวนกลับมาติดต่ออีกครั้งหนึ่งในวันรุ่งขึ้นเช่นนี้โอกาสที่ผู้เสียหายทั้งสองจะจดจำรูปพรรณของจำเลยย่อมมีมากขึ้นประกอบกับผู้เสียหายทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุให้ระแวงว่าผู้เสียหายทั้งสองจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเบิกความแตกต่างกันไปบ้างนั้นก็ไม่ใช่ส่วนสาระสำคัญของคดีหากเป็นเพียงข้อปลีกย่อยเท่านั้นไม่ถึงกับทำให้รูปคดีโจทก์มีพิรุธและการที่เจ้าพนักงานตำรวจไปยึดเอารูปถ่ายของจำเลยมาให้ผู้เสียหายทั้งสองดูก่อนมีการจับจำเลยนั้นก็ไม่เป็นเหตุให้รูปคดีโจทก์มีน้ำหนักลดน้อยลงไปแต่อย่างใดเพราะผู้เสียหายทั้งสองจำได้และยืนยันตลอดมาว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมปล้นทรัพย์ด้วยทั้งฎีกาจำเลยก็รับว่าเป็นคนติดต่อให้ผู้เสียหายทั้งสองบรรทุกทรายไปลงบริเวณที่เกิดเหตุแต่อ้างว่าได้ออกไปจากที่เกิดเหตุก่อนจะเกิดเหตุประมาณ1ชั่วโมงซึ่งเป็นการขัดแย้งกับข้อนำสืบอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยพยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะแสร้งทำเป็นติดต่อว่าจ้างผู้เสียหายทั้งสองและล่อให้ผู้เสียหายทั้งสองขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อตามไปยังสถานที่เกิดเหตุเพื่อทำการปล้นทรัพย์อันเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าเฉพาะตัว การกระทำร่วมกัน และความรับผิดทางอาญา
จำเลยที่ 1 และผู้ตายชกต่อยกัน จำเลยที่ 3 เข้าไปเตะที่กลางหลังผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 เข้าไปตบหน้าผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายเสียหลักล้มแล้วจำเลยที่ 1 เข้ากระทืบที่ร่างผู้ตายตรงบริเวณลำคอหลายครั้งจนกระทั่งผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อทางนำสืบของพยานโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 มีเจตนาร่วมกันไปฆ่าผู้ตายแต่แรก ประกอบกับจำเลยทั้งสามไม่ได้ใช้อาวุธทำร้ายผู้ตายแต่อย่างใด อีกทั้งการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ล้วนแต่มิได้ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ ส่วนที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากจำเลยที่ 1 กระทืบที่ลำตัวและคอผู้ตาย เป็นการกระทำและเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ที่ต้องการให้ผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่อาจคาดหมายหรือเล็งเห็นมาก่อนว่าจำเลยที่ 1อาจฆ่าผู้ตาย จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาร่วมกันเป็นตัวการฆ่าผู้ตาย ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อนเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นระหว่างเดินทางไปด้วยกัน น่าเชื่อว่าเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นทันทีทันใด จึงต้องสันนิษฐานให้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดว่าจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตาย แต่เป็นกรณีที่ต่างคนต่างทำร้ายผู้ตายเป็นการเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องรับผิดเฉพาะการกระทำของตน ซึ่งเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกายร่วมกัน การประเมินความรับผิดชอบทางอาญาเฉพาะตัว และการลดโทษ
จำเลยที่1และผู้ตายชกต่อยกันจำเลยที่3เข้าไปเตะที่กลางหลังผู้ตายส่วนจำเลยที่2เข้าไปตบหน้าผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายเสียหลักล้มแล้วจำเลยที่1เข้ากระทืบที่ร่างผู้ตายบริเวณลำคอหลายครั้งจนกระทั่งผู้ตายถึงแก่ความตายดังนี้เมื่อทางนำสืบของพยานโจทก์ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่2และที่3มีเจตนาร่วมกันไปฆ่าผู้ตายแต่แรกประกอบกับจำเลยทั้งสามไม่ได้ใช้อาวุธทำร้ายผู้ตายแต่อย่างใดอีกทั้งการกระทำของจำเลยที่2และที่3ล้วนแต่มิได้ก่อให้เกิดบาดแผลแก่ผู้ตายถึงขนาดจะเป็นเหตุแห่งความตายได้ส่วนที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากจำเลยที่1กระทืบที่ลำตัวและคอผู้ตายเป็นการกระทำและเป็นเจตนาที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวจำเลยที่1ที่ต้องการให้ผู้ตายถึงแก่ความตายซึ่งจำเลยที่2และที่3ไม่อาจคาดหมายหรือเล็งเห็นมาก่อนว่าจำเลยที่1อาจฆ่าผู้ตายจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที2และที3มีเจตนาร่วมกันเป็นตัวการฆ่าผู้ตายทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่2และที่3มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อนเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นระหว่างเดินทางไปด้วยกันน่าเชื่อว่าเหตุทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นทันทีทันใดจึงต้องสันนิษฐานให้เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดว่าจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายแต่เป็นกรณีที่ต่างคนต่างทำร้ายผู้ตายเป็นการเฉพาะตัวจำเลยที่2และที่3จึงต้องรับผิดเฉพาะการกระทำของตนซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา295ประกอบมาตรา83เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 960/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวน การทำไม้หวงห้าม และข้อยกเว้นความผิด
แม้ผ. จะได้ครอบครองที่ดินก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดให้เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติประกาศใช้แต่ผ. มิได้ยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่ภายใน90วันนับแต่วันที่กฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับจึงถือว่าผ. สละสิทธิหรือประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้วผ. จึงไม่มีสิทธิโอนที่ดินส่วนนี้ให้จำเลยการที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวจึงมีความผิด โจทก์นำสืบไม่ได้ความชัดว่าไม้พลวงไม้เขว้าและไม้มะค่าแต้ขึ้นอยู่ในหรือนอกเขตที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าไม้ดังกล่าวขึ้นอยู่ในที่ดินที่จำเลยแจ้งการครอบครองจึงมิใช่ไม้หวงห้ามแม้จำเลยตัดฟันแปรรูปและมีไว้ในครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้จำเลยก็ไม่มีความผิด ไม้ยางนั้นไม่ว่าจะขึ้นอยู่ณที่ใดในราชอาณาจักรก็เป็นไม้หวงห้ามทั้งสิ้นแต่โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยตัดฟันไม้ยางจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีข่มขืน - เชื่อได้ว่าจำเลยกระทำผิดแม้ผู้เสียหายไม่เบิกความ
แม้โจทก์ไม่ได้ผู้เสียหายและนางสาว ล. มาเบิกความเป็นพยานแต่โจทก์มีสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. พยานโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของผู้เสียหายและนางสาว ล.ที่ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนบันทึกและเบิกความรับรองไว้เชื่อว่าเป็นความจริงเพราะหากไม่เป็นความจริงแล้วผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กสาวย่อมละอายต่อการถูกข่มขืนคงไม่กล้าให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้นเมื่อนำบันทึกคำให้การดังกล่าวมาประกอบคำเบิกความของสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. ว่าชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพแล้วเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบเงินโดยสำคัญผิด ยักยอก และความรับผิดของพนักงานธนาคาร
คำเบิกความของพยานคนใดจะรับฟังได้หรือไม่ต้องแล้วแต่เหตุผลในคำพยานนั้นเองแม้เป็น พยานคู่กันก็ไม่จำต้องรู้เห็นเหตุการณ์หรือเบิกความได้ตรงกันหมดทุกคนจึงจะรับฟังได้พยานอาจเบิกความสนับสนุนบางตอนเท่าที่ตนรู้เห็นจริงเท่านั้นก็ได้ เอกสารที่พยานโจทก์เป็นผู้จัดทำตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามหน้าที่ซึ่งพยานรับผิดชอบทั้งจำเลยก็มิได้โต้แย้งว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริงจึงมีน้ำหนักและการเบิกความของพยานโจทก์เป็นการเบิกความประกอบเอกสารและเอกสารก็มีรายละเอียดชัดเจนอยู่แล้วเมื่อฟังประกอบกับพยานบุคคลจึงเชื่อได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นดัง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา พนักงานของโจทก์ร่วมส่งมอบเงินให้แก่จำเลยที่นำเช็คมาเบิกเงินเกินจำนวนไปเนื่องจากมิได้ดูจำนวนเงินในเช็คให้รอบคอบถือว่าเป็นการส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปเมื่อจำเลยเบียดบังเอาเป็นของตนจึงเป็นความผิดฐานยักยอก