พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,185 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับสารภาพที่ได้จากความกลัวและการข่มขู่ ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานพิสูจน์ความผิดได้ การตั้งข้อหาต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน
คำรับสารภาพที่ได้ความว่าหากจำเลยไม่ให้การรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจก็จะต้องจับกุมภริยาจำเลยและคนในบ้านทั้งหมดด้วยเป็นคำรับสารภาพที่มีเหตุจูงใจและบังคับให้กลัวไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 449/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความประมาทในคดีขับรถชน ผู้ขับต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ หากผู้ถูกชนสวนเข้ามาในช่องทางเดินรถของผู้ขับโดยไม่มีเหตุผลย่อมไม่ถือว่าผู้ขับประมาท
พยานโจทก์คือจ่าสิบตำรวจ ก. และร้อยตำรวจโท ส.เป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองหรือมีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดคำเบิกความดังกล่าวจึงมีน้ำหนักรับฟังได้เมื่อจ่าสิบตำรวจ ก. เบิกความว่าหลังเกิดเหตุรถชนกันไม่นานพยานไม่เห็นจำเลยมีอาการผิดปกติและไม่มีกลิ่นสุราจากจำเลยและร้อยตำรวจโท ส.ก็เบิกความว่าในคืนเกิดเหตุพยานได้สอบถามจำเลยจำเลยก็เล่าพฤติการณ์ที่เกิดเหตุรถชนกันให้ฟังได้ซึ่งหากจำเลยเมาสุราจ่าสิบตำรวจ ก. น่าจะสังเกตเห็นและจำเลยคงเล่าลำดับเหตุการณ์ให้ร้อยตำรวจโท ส. ฟังไม่ได้พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถในขณะเมาสุรา จำเลยขับรถยนต์มาในช่องเดินรถของจำเลยชิดไหล่ทางด้านซ้ายมือแม้จะเห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ส่ายไปส่ายมาก่อนเกิดเหตุแต่ก็ยังอยู่ในช่องเดินรถของผู้ตายจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าผู้ตายจะขับรถตรงเข้ามาชนรถของจำเลยเพราะไม่ปรากฏเหตุจำเป็นใดๆที่ผู้ตายต้องกระทำเช่นนั้นเมื่อผู้ตายขับรถสวนเข้ามาในช่องเดินรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิดเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะห้ามล้อรถให้หยุดได้ในทันทีทั้งไม่มีเวลาพอที่จะบังคับรถยนต์หลบหลีกรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้ทันจึงเกิดเหตุชนกันขึ้นพฤติการณ์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าไม่พอฟัง พยานหลักฐานไม่เชื่อมโยง จำเลยปฏิเสธ และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ศาลฎีกายกฟ้อง
คำเบิกความของผู้เสียหายได้ความเพียงว่า บ. ซึ่งนั่งคร่อมซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยจอดอยู่ริมถนนเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ขับรถผ่านหน้าไปในระยะห่างเพียง2เมตรแต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายแม้จำเลยจะขับรถจักรยานยนต์ตามผู้เสียหายไปแต่ไม่ปรากฏว่าตามไปในลักษณะใดอีกทั้งเมื่อผู้เสียหายจอดรถแล้ววิ่งย้อนกลับมาตามทางเดิมจำเลยกับพวกก็ยังขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเลยไปโดยมิได้ติดตามยิงผู้เสียหายอีกจึงอาจเป็นว่า บ.ยิงขู่ผู้เสียหายเท่านั้นประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้ที่บ้านจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยมิได้หลบหนีและให้การปฏิเสธตลอดมาพยานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานเด็กอายุ 7 ปีให้การขัดแย้งกันในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอพิสูจน์ความผิด
ประจักษ์พยานโจทก์เป็นเด็กอายุ7ปีมีโอกาสถูกเสี้ยมสอนให้บิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นแม้จะให้การชั้นสอบสวนว่าขณะเกิดเหตุพยานวิ่งตามผู้ตายไปในสวนเห็นจำเลยใช้มีดพร้าฟันผู้ตายจึงวิ่งมาบอกมารดาพยานและมารดามาดูพบว่าผู้ตายถูกฟันถึงแก่ความตายและพบจำเลยกำลังล้างมืออยู่ที่บ่อน้ำใกล้ที่เกิดเหตุก็เป็นพยานชั้นสองทั้งมิได้ให้การในระยะกระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุและได้ความจากเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมสอบสวนคดีซึ่งเป็นพยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าพยานไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายขณะที่เจ้าพนักงานจัดให้พยานชี้ตัวคนร้ายอีกด้วยดังนั้นเมื่อพยานมาเบิกความในชั้นพิจารณาย่อมเป็น พยานชั้นหนึ่ง ชอบที่ศาลจะรับฟังคำเบิกความในชั้นพิจารณาเป็นสำคัญส่วนพยานที่เหลืออยู่อีกล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่า ทั้งไม่มีพยานพฤติเหตุแวดล้อมอื่นใดที่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์อีก พยานหลักฐานโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเอกสารตามหมายเรียกศาล: พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่าจำเลยร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร
โจทก์ไม่มีพยานว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารตามที่โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกอย่างไรโดยเมื่อได้รับหมายเรียกจำเลยทั้งสองได้ให้เจ้าหน้าที่ค้นหาเอกสารดังกล่าวและเมื่อตรวจแล้วเห็นว่าตรงตามหมายเรียกจึงลงลายมือชื่อรับรองสำเนาเอกสารที่ถ่ายจากเอกสารดังกล่าวแล้วส่งศาลโดยปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการพยานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้แม้เอกสารซึ่งเป็นต้นฉบับจะถูกปลอมแปลงก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดียาเสพติด: พยานหลักฐานไม่เพียงพอและข้อสงสัยมีเหตุผล จำเลยต้องได้รับการยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยที่1มีเฮโรอีนซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์หนัก2,885กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยลักษณะของคดีและพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับเข้าไปล่อซื้อมีความซับซ้อนพอสมควรเชื่อว่าเป็นการกระทำเป็นขบวนการซึ่งย่อมต้องมีผู้ร่วมขบวนการด้วยเมื่อพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่าจำเลยที่2และที่3เข้าไปเกี่ยวข้องกับจำเลยที่1ในการล่อซื้อเฮโรอีนดังกล่าวและถูกจับได้พร้อมของกลางในห้องพักเดียวกันอันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงออกในลักษณะร่วมขบวนการเดียวกันพยานหลักฐานโจทก์จึงฟังได้ว่าจำเลยที่2และที่3ร่วมกับจำเลยที่1มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายส่วนจำเลยที่4ถึงที่6ซึ่งโจทก์นำสืบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการเตรียมส่งมอบเฮโรอีนของกลางโดยเป็นผู้นำเฮโรอีนไปส่งให้แก่จำเลยที่3นั้นพยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความแตกต่างจากคำพยานคนกลางอีกทั้งบริเวณนั้นก็มีแสงสว่างน้อยพยานโจทก์ซุ่มดูเหตุการณ์ห่างกัน10เมตรเศษเชื่อว่าพยานโจทก์ไม่สามารถมองเห็นกลุ่มคนดังกล่าวได้ชัดเจนพอพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักฟังว่าจำเลยที่4ถึงที่6ได้ร่วมกระทำผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาความผิดฐานร่วมกันมีและจำหน่ายยาเสพติด โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานและคำเบิกความของพยาน
พยานโจทก์ไม่เคยรู้จักจำเลยที่2และที่4มาก่อนไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่2และที่4อีกทั้งการที่จำเลยที่2เบิกความรับว่าเป็นชายที่อยู่ในภาพถ่ายซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภาพไว้ขณะดูเงินที่ใช้ซื้อเฮโรอีนกันและจำเลยที่4ก็เบิกความรับว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับบริเวณที่เกิดเหตุเจือสมกับพยานโจทก์พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยที่2และที่4ได้ร่วมกับพวกมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 303/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินก่อนพ.ร.บ.ที่ดิน 2497 และการมิใช่ป่าตามพ.ร.บ.ป่าไม้
แม้การแจ้งสิทธิการครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุของ ส. ซึ่งเป็นยายของจำเลยไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายแต่ก็เป็นหลักฐานสนับสนุนว่าส. ได้ครอบครองที่ดินนั้นก่อนประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ.2497ใช้บังคับที่ดินดังกล่าวจึงไม่ใช่ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา4(1)เมื่อ ส. ยกที่ดินนั้นให้จำเลยจำเลยจึงมีสิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาแจ้งความเท็จ - ความเชื่อโดยสุจริต - พยานหลักฐานสนับสนุน - ยกฟ้อง
โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยที่2และที่5รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยที่1มิได้ชื่อ ป. และมิได้เป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมีชื่อ ป. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามโฉนดทั้งโฉนดที่ดินดังกล่าวมิได้สูญหายไปแล้วยังแจ้งข้อความเท็จดังกล่าวให้ ฉ. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่รับเรื่องราวคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดินจดลงไว้ในบันทึกถ้อยคำในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินแทน ป. จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2และที่5เจตนาแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา267
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาอาศัยพยานหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์ร่วมถูกยิงอย่างกะทันหันโดยกระสุนปืนนัดแรกถากลำคอเป็นเหตุให้มีเลือดไหลย่อมจะตกใจกลัวและมุ่งแต่จะหลบหนีไม่น่าจะหันไปดูหน้าคนร้ายส่วน ณ. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหันไปดูหลังจากเสียงปืนดัง2นัดช่วงนั้นคนร้ายยิงปืนเสร็จคงจะหลบหนีไปแล้วอีกทั้งพยานสองปากนี้เบิกความถึงจุดที่คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมขัดกับการนำชี้ที่ปรากฏในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุชั้นสอบสวนของ ท. ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์ร่วมที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยประกอบกับขณะที่ณ. และ ท. ส่งโจทก์ร่วมไปรักษาตัวไม่มีผู้ใดพูดถึงชื่อคนร้ายและเมื่อ ท. ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนก็ไม่ยอมระบุชื่อคนร้ายโดยอ้างว่าจะไปปรึกษากับโจทก์ร่วมและบุตรก่อนแล้วจะไประบุชื่อคนร้ายภายหลังจึงไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ร่วม ณ. และ ท.จะเห็นหน้าคนร้ายส่วน ค. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งที่เบิกความว่าก่อนเกิดเหตุเห็นจำเลยถืออาวุธปืนอยู่กับพวกที่ข้างรั้วบ้านแต่พยานกลับมานอนต่อที่บ้านโดยไม่ยอมบอกผู้ใดทราบก็ไม่น่าเชื่อถือเพราะขณะนั้นมีข่าวการว่าจ้างให้ไปยิงโจทก์ร่วมอยู่ในช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวแล้วพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่สืบมายังเป็นที่สงสัยว่าประจักษ์พยานจะเห็นหน้าจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่กระทำผิดหรือไม่จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย