พบผลลัพธ์ทั้งหมด 149 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18028/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากฟ้าผ่าเสาสัญญาณโทรศัพท์: ผู้ประกอบการต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหากประมาทเลินเล่อ
โจทก์บรรยายไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านเช่าครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น เปิดให้เช่า 5 คูหา ต่อมาฟ้าผ่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยังไม่ต่อสายล่อฟ้าลงพื้นดินเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามสายไฟฟ้าเข้ามิเตอร์วัดไฟที่ต่อให้ประชาชนใช้ตามบ้านจนเกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนรวมถึงอาคารบ้านเรือน 5 คูหาของโจทก์ แม้โจทก์จะบรรยายเลขที่บ้านเป็นเลขที่ 81 แต่ทางพิจารณาเป็นเลขที่ 16 ก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่เป็นสาระสำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17216/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการตรวจค้นเพื่อสอบสวนภาษี: เหตุอันควรเชื่อว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษีเป็นเพียงพอ
มาตรา 3 เบญจ แห่ง ป.รัษฎากร หาใช่เป็นบทบัญญัติเรื่องกำหนดระยะเวลาให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการมาไต่สวนไม่ หากแต่เป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจอธิบดีเข้าไปหรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานสรรพากรเข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะใดเพื่อทำการตรวจค้น ยึดหรืออายัดบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับหรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากร ซึ่งต่อมาเมื่อมีการตรวจค้น ยึดหรืออายัดเอกสารมาตรวจสอบแล้ว ผลปรากฏว่ามีเหตุอันควรเชื่อว่ารายการที่ผู้เสียภาษียื่นไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่บริบูรณ์ เจ้าพนักงานย่อมมีอำนาจออกหมายเรียกตัวผู้ยื่นรายการมาไต่สวนตามมาตรา 19 เป็นลำดับถัดไป คดีนี้เจ้าพนักงานทำการสืบสวนการดำเนินกิจการของโจทก์แล้วเห็นว่า โจทก์มียอดขายสูงกว่าที่ยื่นแบบและมิได้ออกใบกำกับภาษีแก่ผู้ซื้อสินค้าทันที แสดงว่าเป็นกรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรแล้ว อธิบดีกรมสรรพากรย่อมมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานสรรพากรเข้าไปในสถานที่ทำการของโจทก์เพื่อทำการตรวจค้น ยึดหรืออายัดบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่เกี่ยวกับหรือสันนิษฐานว่าเกี่ยวกับภาษีอากรที่จะต้องเสียได้ แม้เจ้าพนักงานจะบันทึกว่า ได้มาทำการตรวจค้นตามคำสั่งเพื่อประโยชน์ในการเร่งรัดภาษีอากรค้างรายโจทก์ก็ตาม ก็หามีผลทำให้คำสั่งของอธิบดีที่ออกมาแล้วโดยชอบตามกฎหมายกลับเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบขึ้นมาได้ ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าไปในสถานประกอบการของผู้ประกอบการตามมาตรา 88/3 และมีอำนาจออกหมายเรียกตามมาตรา 88/4 ได้เองอยู่แล้ว จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 19
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16887/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องค่าธรรมเนียม ทำให้ฎีกาถูกทิ้ง และคดีถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า ให้จำเลยวางเงินค่านำส่งตามข้อบังคับว่าด้วยการส่งคำคู่ความและเอกสารทางคดีในวันถัดไป จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องวางเงินค่านำส่งดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลกำหนด เมื่อจำเลยไม่วางเงินค่านำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งของศาลและศาลฎีกามีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฎีกา ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความแล้ว คดีย่อมถึงที่สุด จำเลยไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาเพื่อคัดค้านคำสั่งของศาลฎีกาได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15719/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษอาญาซ้ำ จำเป็นต้องพิสูจน์คดีเดิมถึงที่สุด
ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 3 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2548 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษนั้น เป็นข้อเท็จจริงต่างหากจากข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิด และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏ คดีนี้จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ซึ่งเป็นการรับสารภาพว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดตามฟ้องเท่านั้น มิได้ให้การรับด้วยว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 3 จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 รับในเรื่องการเพิ่มโทษและมิใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เอง แม้โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า พยานได้ส่งลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ 3 ไปตรวจสอบประวัติ ผลการตรวจสอบระบุว่า จำเลยที่ 3 ถูกดำเนินคดีข้อหาปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2548 ศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2548 ว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 83, 340 วรรคสอง, 340 ตรี จำคุก 22 ปี 6 เดือน รับลดกึ่งหนึ่ง จำคุก 11 ปี 3 เดือน ก็ตาม แต่พยานปากดังกล่าวมิได้เบิกความว่า คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้วหรือไม่ เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนว่าจำเลยที่ 3 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 767/2548 ของศาลชั้นต้น และคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 3 ได้กระทำผิดในคดีนี้ซ้ำในอนุมาตราเดียวกันอีกภายในเวลาสามปีนับแต่วันพ้นโทษ จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14975/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความประมาทในการขับขี่และการชนเนื่องจากรถเบี่ยงเลน ไม่เข้าข่ายประมาทตามกฎหมายจราจร
แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถ" ก็ตาม แต่ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์เยื้องไปทางด้านหลังซ้ายรถยนต์ที่ ร. ขับ ดังนี้ จำเลยจึงขับรถอยู่คนละช่องเดินรถกับรถที่ ร. ขับ และเหตุที่รถที่จำเลยขับชนรถที่ ร. ขับเนื่องมาจาก ร. เบี่ยงรถมาทางด้านซ้าย กรณีจึงถือไม่ได้ว่ารถที่ ร. ขับเป็นรถคันหน้าที่จำเลยต้องขับรถให้ห่างพอสมควรที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งได้ความว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่ทรัพย์สิน จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13923/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การมีวัตถุระเบิดและการกระทำความผิดจนผู้อื่นเสียชีวิต
การที่จำเลยที่ 1 ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง แล้วใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวปาใส่บุคคลที่นั่งชมการแสดงหมอลำจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 ได้รับอันตรายสาหัส และผู้เสียหายที่ 4 ถึงที่ 8 ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยจำเลยที่ 1 มีเจตนาเดียวคือกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย กับผู้เสียหายที่ 2 ถึงที่ 8 ได้รับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้และฐานใช้วัตถุระเบิดดังกล่าวในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ฐานกระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายและรับอันตรายสาหัส ฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13398/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสัมพันธ์ตัวแทนและการยักยอกทรัพย์ การจำนำทรัพย์ของตัวการโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดฐานยักยอก
โจทก์ร่วมและจำเลยมีข้อตกลงกันว่า หากลูกค้าต่อรองราคาต่างหูเพชรพิพาทจำเลยจะต้องโทรศัพท์สอบถามโจทก์ร่วมก่อนว่าสามารถขายในราคาดังกล่าวได้หรือไม่ ข้อตกลงนี้มีผลทำให้จำเลยไม่มีอิสระในการกำหนดราคาขายได้จริง นิติกรรมระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยจึงมิใช่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่เป็นการที่โจทก์ร่วมมอบต่างหูเพชรของกลางแก่จำเลยให้ไปขายแทนโจทก์ร่วม ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ร่วมและจำเลยเป็นเรื่องตัวแทน โดยจำเลยเป็นตัวแทนขายต่างหูเพชรของกลางให้แก่ลูกค้าแทนโจทก์ร่วมผู้เป็นตัวการ เมื่อจำเลยครอบครองต่างหูเพชรของกลางของโจทก์ร่วมแล้วนำไปจำนำไว้แก่บุคคลอื่น จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังต่างหูเพชรของกลางของโจทก์ร่วมโดยเจตนาทุจริตเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12560/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นโจทก์ร่วมต้องพิจารณาจากสถานะผู้เสียหายตามฟ้อง การแก้ฟ้องไม่ย้อนหลังถึงคำสั่งอนุญาตให้เป็นโจทก์ร่วมที่ไม่ชอบ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และ ธ. โดย ช. ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ แต่ขณะนั้นฟ้องโจทก์ระบุว่าบริษัท พ. โดย ธ. ผู้เสียหาย ดังนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ บริษัท พ. เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และ ธ. โดย ช. จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์ได้ แม้ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องในส่วนผู้เสียหายเป็นบริษัท พ. หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตก็ตาม แต่ก็ไม่มีผลทำให้คำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และคำสั่งศาลที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายได้ โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่คู่ความที่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12493/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน กรณีแจ้งข้อมูลเท็จเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น แม้กระทำในคราวเดียวกัน
แม้จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทสองบริษัทไปเป็นของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นการกระทำความผิดในคราวเดียวกัน แต่ ป.อ. มาตรา 91 มิได้บัญญัติว่าการกระทำความผิดหลายกรรมนั้นจะเกิดขึ้นในคราวเดียวกันไม่ได้ การกระทำในวันเดียวกันหรือต่อเนื่องในคราวเดียวกันก็อาจเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันได้ คดีนี้ โดยสภาพของการกระทำจำเลยต้องแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร ให้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นทีละบริษัท การที่จำเลยแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครครั้งหนึ่งก็เป็นความผิดสำเร็จกระทงหนึ่งแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9379/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับยาเสพติด เนื่องจากจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องขอฎีกาตามขั้นตอนที่กฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติดกำหนด
ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดนั้น จึงเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้ เมื่อจำเลยฎีกาโดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง