คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 242

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 262 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7546/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนที่ศาลชั้นต้นกำหนด และการพิจารณาคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยแต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีกำหนดขั้นต่ำ 4 ปี ขั้นสูงไม่เกิน 6 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 121 (2) แต่จำเลยมีสิทธิขอให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวหรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวอนุญาตให้อุทธรณ์ตามมาตรา 122 ซึ่งจำเลยได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวอนุญาตแล้ว การที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคำสั่งว่า คดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ไม่จำต้องขออนุญาตให้ยกคำร้องแล้วมีคำสั่งรับอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีคดีเยาวชนและครอบครัวจึงไม่ชอบ จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาจึงให้ยกฎีกา ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว และยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ของจำเลยและสำนวนคดีให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิจารณา แล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งอุทธรณ์ของจำเลยต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4198/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บัญชีเดินสะพัด-อายุความ-การหักทอนบัญชี-สิทธิเรียกร้อง-สัญญา
ตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยระบุตรงกันว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 20/96 ถนนสุขุมวิท ซอยพร้อมมิตร แขวงคลองตันเหนือ เขตคลองเตยกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้ การที่จำเลยกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดขอนแก่นเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นกล่าวอ้างเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจึงได้ไปซึ่งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิและความรับผิดของบริษัทเดิมทั้งหมด โดยผลของกฎหมายตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 185 มิใช่เป็นการโอนหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 จึงไม่ต้องทำหลักฐานการโอนหนี้เป็นหนังสือแม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการโอนหนี้ระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด กับโจทก์และไม่ได้บอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือให้จำเลยทราบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 306 โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดต่อมาจำเลยทำความตกลงกับโจทก์เพื่อเป็นร้านค้าสมาชิกรับบัตรเครดิต ตกลงให้ใช้บัญชีเดินสะพัดของจำเลยเป็นบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยในการเรียกเก็บเงินตามหลักฐานการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดหรือเซลสลิปด้วย ข้อตกลงและการปฏิบัติต่อกันระหว่างโจทก์และจำเลยดังกล่าวเป็นการกำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดของคู่สัญญาโดยมีการตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแต่กิจการในระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค อันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด
โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจดูแลกิจการผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ ฟ้องเรียกเอาเงินที่ออกทดรองไป เมื่อกฎหมายในเรื่องบัญชีเดินสะพัดมิได้กำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีกำหนดอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
โจทก์นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2536 และนำยอดเงินการใช้บัตรเครดิตแทนการชำระเงินสดที่โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้มาหักจากบัญชีเดินสะพัดของจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2536 เมื่อหักทอนบัญชีกันในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2536 ปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับจำเลยโดยให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2538 อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์2538 เป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ยังไม่พ้นกำหนดสิบปี จึงไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยมิได้กล่าวด้วยว่านอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่สั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เป็นอันเพิกถอนไป เป็นการสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาอุทธรณ์หลังขยายเวลา: ศาลพิพากษายกคำสั่งรับอุทธรณ์เมื่อยื่นเกินกำหนด
ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์วันที่ 5 ธันวาคม 2541 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 20 วัน นับแต่วันครบอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ การนับระยะเวลาที่ขอขยายออกไปจึงต้องนับจากวันครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือต่อจากวันที่5 โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปโดยไม่ต้องคำนึงว่าวันที่ 6,7และ 8 ธันวาคม 2541 จะตรงกับวันหยุดทำการหรือไม่เพราะวันดังกล่าวไม่ใช่วันสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 เมื่อเริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ที่ขอขยายครั้งแรกคือวันที่ 6 ธันวาคม 2541 จะครบกำหนด 20 วัน ในวันที่ 25 ธันวาคม2541 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ 2 และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ 10วัน นับถัดจากวันครบกำหนดที่อนุญาตครั้งแรก การนับระยะเวลาที่ขยายออกไปในครั้งหลังจึงต้องนับตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกำหนด 10 วัน ในวันที่ 4 มกราคม 2542 จำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 6 มกราคม 2542 จึงเกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นสั่งขยายให้แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีครอบครัวที่เกินทุนทรัพย์และขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระค่าสินสอดแก่โจทก์ทั้งสามจำนวน 35,000 บาท พร้อมด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 5,300 บาทจำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียง 40,300 บาท ไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งมิใช่คดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวคดีต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า เงินจำนวน 35,000 บาท และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท เป็นเพียงเงินค่าตอบแทนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 3 ไปอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ที่ 3 มิใช่เป็นค่าสินสอด โจทก์ทั้งสามไม่อาจเรียกคืนได้นั้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1) และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฎีกาของโจทก์ทั้งสามจึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตาม ศาลฎีกาไม่อาจพิจารณาให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9867/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการอ่านคำพิพากษาและการรับฎีกาเนื่องจากจำเลยมิได้วางค่าธรรมเนียมศาลตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า ก่อนอ่านคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยทั้งสองวางเงินให้ครบถ้วนก่อน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ส่งคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อดำเนินต่อไป แต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไปโดยมิได้แจ้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยทั้งสองทราบก่อน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้มีหมายแจ้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยทั้งสองทราบและมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสอง ก็มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาล กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในเรื่องการอ่านอุทธรณ์และคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ให้ศาลชั้นต้นส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อดำเนินต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7994/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความเมื่อจำเลยร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดี และการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่กำหนดค่าทนายความ
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีจึงต้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนอีกฝ่ายหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 161
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยร่วมเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6541/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาวินิจฉัยตามพยานหลักฐานและคำรับสารภาพ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาผิดฐาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นฟังพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบโดยโจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและฟังได้ว่า โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานพร้อมสำเนาแบบขอหมายจริง ดังนั้น แม้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ และการวินิจฉัยความผิดของจำเลยสมควรเป็นไปตามลำดับก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ยื่นฎีกาในปัญหาดังกล่าวประกอบกับได้มีการนำสืบพยานหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
การจับกุมจำเลยเกิดจากเจ้าพนักงานตำรวจให้สายลับติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน เมื่อจำเลยนำเมทแอมเฟ -ตามีนมาส่ง จึงถูกจับกุมได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน 100 เม็ด ซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่บุคคลจะมีไว้เพื่อเสพประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาว่า จำเลยซื้อเมทแอมเฟตามีนเพื่อนำไปให้ช่างซ่อมรถยนต์คน อื่นๆ อันเป็นการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย
การแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบในชั้นจับกุมก็เพื่อประสงค์จะให้จำเลยทราบและเข้าใจถึงการกระทำความผิด ของตน แม้ชั้นจับกุมผู้จับกุมแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้ว ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์เป็นพิรุธ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2889/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่วางค่าฤชาธรรมเนียมในการอุทธรณ์ส่งผลต่อการพิจารณาคดี ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นที่ไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยขาดนัด จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ปรากฏว่าจำเลยมิได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 เช่นนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งไม่รับอุทธรณ์ แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์โดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นแห่งอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยด้วย โดยพิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ จึงมิชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยฎีกาของโจทก์ และพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของโจทก์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่วางเงินค่าธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 แม้ไม่มีการฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับคำสั่งยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย เท่ากับขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้พิจารณาใหม่ต่อไป จึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 เมื่อจำเลยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาข้อกฎหมายนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8707/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานเอกสารที่ไม่ส่งสำเนาก่อนสืบพยาน: ศาลมีอำนาจหากเป็นประโยชน์แก่ความยุติธรรมและเกี่ยวข้องประเด็นสำคัญ
แม้สำเนาสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังจะมิใช่หลักฐานโดยตรงในเรื่องการเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นก็ถือเป็นพยานสำคัญในการชั่งน้ำหนักพยานโจทก์ แล้วนำไปเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้เป็นผู้เช่าที่นาของโจทก์ ปัญหาเรื่องการรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวหรือไม่ นับว่ามีผลต่อรูปคดี อย่างมาก เพราะอาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงได้ จึงเป็นข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยในปัญหานี้แล้วพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาอีก
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) บัญญัติ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยาน หลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้น ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญ ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าภาพถ่ายสัญญาเช่าซึ่งโจทก์ส่งต้นฉบับต่อศาลในภายหลังโดยโจทก์มิได้ส่งสำเนาให้จำเลย เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะนำข้อเท็จจริงไปสู่การวินิจฉัยประเด็นข้อสำคัญในคดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนี้ได้
of 27