พบผลลัพธ์ทั้งหมด 262 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบายน้ำจากที่สูงสู่ที่ต่ำ และสิทธิของเจ้าของที่ดินในการรักษาสภาพเดิม
ที่ดินของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นที่ลุ่มอยู่ต่ำกว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ด จำต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1339 วรรคแรกและจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่ดินสูงมาในที่ดินของตนเพราะก่อนหน้านี้น้ำจากบริเวณที่ดินของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นที่สูงก็ได้ระบายไหลเข้ามาในที่ดินของจำเลยทั้งสองในบริเวณที่พิพาทตามธรรมดาอยู่แล้วดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1340 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางในที่พิพาทเป็นเหตุให้น้ำท่วมนาของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดจนได้รับความเดือดร้อนเสียหายเช่นนี้ โจทก์ทั้งสิบเจ็ดย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองทำที่พิพาทให้เป็นลำรางระบายน้ำตามเดิมได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเจ็ดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินในบริเวณทุ่งใหญ่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเพราะจำเลยทั้งสองใช้ดินกลบลำรางระบายน้ำซึ่งเป็นทางระบายน้ำที่ไหลจากบริเวณที่ดินโจทก์ทั้งสิบเจ็ดผ่านลำรางดังกล่าวไปสู่บึงน้ำสาธารณะมานาน 40 ถึง50 ปีแล้ว เป็นทางภารจำยอม อันเป็นการบรรยายถึงสิทธิของโจทก์ทั้งสิบเจ็ดที่จะใช้ลำรางระบายน้ำนั้นได้โดยไม่ให้จำเลยทั้งสองปิดกั้น ซึ่งในคดีแพ่งนั้นโจทก์ไม่จำเป็นจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นกล่าวอ้าง เพียงแต่บรรยายข้อเท็จจริงและมีคำขอบังคับก็เป็นเพียงพอแล้ว ส่วนบทกฎหมายใดจะใช้บังคับแก่คดีย่อมเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาปรับแก่คดีเอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางพิจารณาว่า กรณีเป็นเรื่องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1339 วรรคแรก และมาตรา 1340 วรรคแรก ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ว่ากรณีเป็นเรื่องดังกล่าวได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า หากจำเลยทั้งสองไม่ร่วมกันขุดเปิดลำรางก็ให้โจทก์ทั้งสิบเจ็ดดำเนินการเองโดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นแทน ไม่ชอบด้วยวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว โจทก์ทั้งสิบเจ็ดชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและการใช้ดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน
โจทก์ทั้งสามยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกก่อนวันสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนไม่น้อยกว่า 3 วันแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคหนึ่ง ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสามชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมก่อนเสร็จการสืบพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์ได้เสมอตามมาตรา 88 วรรคสอง ศาลชั้นต้นจะใช้ดุลพินิจไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมซึ่งยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้ บทบัญญัติมาตรา 86 วรรคหนึ่ง ที่ให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้หรือที่รับฟังได้แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เป็นคนละกรณีกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม ส่วนบทบัญญัติมาตรา 86 วรรคสองที่ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานที่ศาลเห็นว่าฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวกับประเด็น เป็นขั้นตอนภายหลังที่คู่ความได้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานเช่นว่านั้นโดยชอบแล้ว จึงเป็นคนละกรณีกับการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามอีกเช่นกัน และเมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม ก็ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะก้าวล่วงไปวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้งสามมีพฤติการณ์ประวิงคดีให้ชักช้าหรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามระบุพยานเพิ่มเติมและให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสาม กับให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสามจนแล้วเสร็จต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตอนต้นยังไม่ถูกต้องเพราะเมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามแล้ว ศาลชั้นต้นยังมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจสั่งงดการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามที่เห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่ฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวกับประเด็นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง และถ้ามีการสืบพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามต่อไป ก็ต้องให้โอกาสจำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบแก้ได้ด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาในคำพิพากษาฉบับแรกให้ยกคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ทั้งสามระบุพยานเพิ่มเติมและให้รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ทั้งสามแล้วคดีในส่วนที่จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาฉบับหลังก็ต้องมีการรับฟังพยานหลักฐานใหม่ตามที่โจทก์ทั้งสามและจำเลยนำสืบเพิ่มเติมต่อไปด้วยเพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับหลังที่ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำท้าต่อการดำเนินคดี: ศาลต้องให้ปฏิบัติตามคำท้าก่อนพิจารณาประเด็นอื่น หากไม่ปฏิบัติตามถือเป็นเหตุแพ้คดี
คู่ความทั้งสองฝ่ายท้ากันให้ไปดื่มน้ำสาบาน โดยโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสี่จะต้องสาบานตัวทุกคนตามที่กำหนด หากเป็นไปดังคำท้าทั้งสองฝ่ายจะแบ่งที่ดิน น.ส. 3 ที่พิพาทกันฝ่ายละกึ่งหนึ่งไม่ติดใจเรียกร้องอะไรกันอีก แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่กล้าสาบานหรือสาบานตัวไม่ครบทุกคน ถือว่า ฝ่ายนั้นแพ้คดี ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรในที่พิพาทอีก ในวันนัดพร้อมเพื่อไปสาบานตัว โจทก์ทั้งสองและทนายกับจำเลยทั้งสี่และทนายมาศาล จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4แถลงว่าวันที่ตกลงท้ากันตนไม่ได้มาศาลมิได้ยินยอมด้วย ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กระทำต่อศาล หาใช่กรณีจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ตกลงขอยกเลิกคำท้าต่อโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนเป็นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างธรรมดาไม่ การที่ทนายโจทก์แถลงไม่คัดค้านคำแถลงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ก็เนื่องจากข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 แถลงเป็นความจริง ไม่มีอะไรจะต้องคัดค้าน ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำท้าไม่มีผลบังคับจึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณานัดสืบพยานโจทก์ต่อไป ไม่ได้ให้คู่ความปฏิบัติตามคำท้า เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง การที่ฝ่ายโจทก์ไม่คัดค้านจะถือว่าตกลงยินยอมยกเลิกคำท้ากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 หาได้ไม่คำท้ายังมีผลผูกพันคู่ความอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคู่ความยังมิได้ปฏิบัติตามคำท้า สมควรที่จะต้องยกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วกำหนดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้เป็นไปตามคำท้า และพิพากษาคดีไปตามนั้น ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่มิได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ในระยะเวลาอันสมควรจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกานั้นเมื่อจำเลยทั้งสี่มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำแก้อุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนคำพิพากษาและการพิจารณาอุทธรณ์หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีแรงงาน
ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาแล้ว จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานกลางขอให้พิจารณาใหม่ ศาลแรงงานกลางฟังว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดจึงอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันได้ ศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมแล้ว แม้ศาลแรงงานกลางเพิกถอนกระบวนพิจารณาและคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง แต่ศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาหรือคำสั่งอื่น ๆ ของศาลฎีกา แม้โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลย และศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมแล้ว แต่โจทก์ยังไม่ได้ถอนอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงต้องพิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป เมื่อโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจนศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมไปแล้ว ข้อโต้แย้งตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางจึงหมดไปไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6405/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีเนื่องจากล้มละลายและการขอพิจารณาคดีใหม่ ศาลฎีกาไม่มีอำนาจรับฎีกา
ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลย จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ให้จำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยถูกฟ้องล้มละลายและศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ต่อมาศาลแพ่งอนุญาตให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ คำสั่งพิทักษ์เด็ดขาดเป็นอันเพิกถอนไปในตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 209 ประกอบด้วย พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 153 จำเลยชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป การที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ ศาลฎีกายังไม่มีอำนาจรับฎีกาจำเลยไว้วินิจฉัย พิพากษายกฎีกาจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องอุทธรณ์: ทนายความที่ถูกถอนอำนาจแล้วลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ทำให้คำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ส. เคยเป็นทนายความของจำเลยแต่ถูกถอนจากการแต่งตั้งแล้วเมื่อ ส. มาลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับแต่งตั้ง ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ ส. เคยทำหน้าที่ทนายความแทนจำเลยการที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องอุทธรณ์จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากทนายความที่ถูกถอนชื่อลงนาม ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไข
ส. เคยเป็นทนายความของจำเลยแต่ถูกถอนจากการแต่งตั้งแล้วเมื่อ ส. มาลงชื่อในอุทธรณ์โดยไม่ได้รับแต่งตั้ง ถือว่าเป็นคำฟ้องอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ ส. เคยทำหน้าที่ทนายความแทนจำเลยการที่ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องอุทธรณ์จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 ศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นจัดการให้จำเลยลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์ในคำฟ้องอุทธรณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเฉพาะตัวในการจัดการมรดก: ทายาทไม่สามารถรับมรดกความในคดีคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดก
การขอตั้งผู้จัดการมรดกตลอดจนการคัดค้านการขอตั้งผู้จัดการมรดกไม่เป็นคดีที่ทายาทจะรับมรดกความของคู่ความที่ถึงแก่กรรมได้เพราะการขอเป็นผู้จัดการมรดกตลอดจนการคัดค้านถือได้ว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทหรือ ผู้มีส่วนได้เสียแต่ละคน เมื่อผู้คัดค้านถึงแก่กรรมย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีของผู้คัดค้านต่อไปการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาต ให้ทายาทของผู้คัดค้านเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้คัดค้านและวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านจึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5735/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเฉพาะตัวในการจัดการมรดก: การที่ทายาทเดิมถึงแก่กรรมทำให้การดำเนินคดีแทนไม่มีประโยชน์
การขอตั้งผู้จัดการมรดกตลอดจนการคัดค้านการขอตั้งผู้จัดการมรดกไม่เป็นคดีที่ทายาทจะรับมรดกความของคู่ความที่ถึงแก่กรรมได้เพราะการขอเป็นผู้จัดการมรดกตลอดจนการคัดค้านถือได้ว่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียแต่ละคน เมื่อผู้คัดค้านถึงแก่กรรมย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีของผู้คัดค้านต่อไปการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ทายาทของผู้คัดค้านเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้คัดค้านและวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านจึงเป็นการไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5667/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ ศาลฎีกาแก้ไขคำสั่งค่าทนายความ
จำเลยที่ 2 และทนายมิได้แก้อุทธรณ์หรือยื่นคำร้องหรือได้กระทำการใด ๆ ต่อศาลอันจะถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติในการดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์รับผิดชดใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นการไม่ถูกต้องศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้.