คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 218

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าซื้อทายาทและการยักยอกทรัพย์: การพิสูจน์ความเสียหายและอายุความ
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นและมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อใน สภาพเรียบร้อยแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องคืน เมื่อบุตรโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวย่อมตกทอดมายังโจทก์ในฐานะทายาทคนหนึ่ง เมื่อจำเลยได้ยักยอกทรัพย์นั้นไปจากโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์มอบรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยซ่อมเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ จำเลยไม่ได้แจ้งราคาซ่อมให้โจทก์ทราบ โจทก์น่าจะทราบได้ในขณะนั้นหรือช่วงเวลานั้นแล้วว่าจำเลยเบียดบังเอารถยนต์คันพิพาทเป็นของตนเอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินระยะเวลา 3 เดือน พ้นกำหนดอายุความเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้เช่าซื้อและทายาทในการครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ และการแจ้งความร้องทุกข์ภายในอายุความ
แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นและมีหน้าที่ต้องส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยแก่ผู้ให้เช่าซื้อหากมีกรณีต้องคืน เมื่อบุตรโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อถึงแก่กรรม สิทธิและหน้าที่ดังกล่าวย่อมตก ทอดมายังโจทก์ในฐานะทายาทคนหนึ่ง เมื่อจำเลยได้ยักยอกทรัพย์นั้นไปจากโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์มอบรถยนต์คันพิพาทให้จำเลยซ่อมเป็นเวลานานถึง 8 เดือนเศษ จำเลยไม่ได้แจ้งราคาค่าซ่อมให้โจทก์ทราบโจทก์น่าจะทราบได้ในขณะนั้นหรือช่วงเวลานั้นแล้วว่าจำเลยเบียดบังเอารถยนต์คันพิพาทเป็นของตนเอง โจทก์นำคดีมาฟ้องเกินระยะเวลา 3 เดือนพ้นกำหนดอายุความ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลีกเลี่ยงการตรวจเลือกทหาร: เจตนาพิเศษไม่จำเป็น, เหตุผลสมควรปรานีได้
มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497เป็นบทบังคับให้ทหารกองเกินมาและให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการตามหมายเรียกของนายอำเภอจนเสร็จสิ้น กระบวนการในการตรวจเลือกนั้น กรณีจึงมีบทบัญญัติซึ่งเป็นข้อสันนิษฐาน ของกฎหมายให้ถือว่าผู้ที่มาแต่ไม่เข้ารับการตรวจเลือก อันรวมถึง การไม่เข้ารับการตรวจเลือกให้ครบตามกระบวนการในการตรวจเลือก เช่นไม่ยอมจับสลาก เป็นผู้หลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือก ทำการตรวจเลือกด้วย ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้นั้นมีเจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืน หรือมีเจตนาพิเศษเพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหารกองประจำการด้วยหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงถือไม่ได้ว่าเจตนาพิเศษเพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหารเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 27 ประกอบกับมาตรา 45
แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขอให้รอการลงโทษด้วยเพราะคดีต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็ยังคงมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษ จำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ที่มีเหตุสมควรที่ทำให้จำเลยเข้าใจว่า จำเลยและบรรดา ผู้รับการตรวจเลือกอื่นที่ไม่ได้ให้เงินแก่คณะกรรมการตรวจเลือก จะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการตรวจเลือก จำเลยกับผู้รับการตรวจเลือก ส่วนใหญ่จึงพร้อมใจไม่ยอมจับสลาก แต่ขอให้เลื่อนการจับสลาก ออกไปก่อนเพื่อให้มีการคัดเลือกผู้ที่จะต้องเข้าจับสลากเสียให้ถูกต้อง เป็นธรรมถือได้ว่ามีเหตุอันควรปรานีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 สมควรรอการลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5590/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลีกเลี่ยงการตรวจเลือกทหาร: เจตนาพิเศษไม่จำเป็น, เหตุผลสมควรปรานีได้
มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาเป็นบทบังคับให้ทหารกองเกินมาและให้คณะกรรมการตรวจเลือกทำการตรวจเลือกเข้ารับราชการทหารกองประจำการตามหมายเรียกของนายอำเภอจนเสร็จสิ้น กระบวนการในการตรวจเลือกนั้น กรณีจึงมีบทบัญญัติซึ่งเป็นข้อสันนิษฐาน ของกฎหมายให้ถือว่าผู้ที่มาแต่ไม่เข้ารับการตรวจเลือก อันรวมถึง การไม่เข้ารับการตรวจเลือกให้ครบตามกระบวนการในการตรวจเลือกเช่นไม่ยอมจับสลาก เป็นผู้หลีกเลี่ยงขัดขืนไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือก ทำการตรวจเลือกด้วย ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้นั้นมีเจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืน หรือมีเจตนาพิเศษเพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหารกองประจำการด้วยหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงถือไม่ได้ว่าเจตนาพิเศษเพื่อจะไม่ให้เข้ารับราชการทหารเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 27 ประกอบกับมาตรา 45
แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขอให้รอการลงโทษด้วยเพราะคดีต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาก็ยังคงมีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษ จำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ที่มีเหตุสมควรที่ทำให้จำเลยเข้าใจว่า จำเลยและบรรดา ผู้รับการตรวจเลือกอื่นที่ไม่ได้ให้เงินแก่คณะกรรมการตรวจเลือก จะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการตรวจเลือก จำเลยกับผู้รับการตรวจเลือก ส่วนใหญ่จึงพร้อมใจไม่ยอมจับสลาก แต่ขอให้เลื่อนการจับสลาก ออกไปก่อนเพื่อให้มีการคัดเลือกผู้ที่จะต้องเข้าจับสลากเสียให้ถูกต้อง เป็นธรรมถือได้ว่ามีเหตุอันควรปรานีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 สมควรรอการลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และแก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 3 จำคุก 6 เดือนและจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยรวม 38 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานนี้ รวม 34 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ส่วนความผิดที่เหลือ 4 กระทงวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้ว เช่นนี้ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 สำหรับความผิด ฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทง ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5503/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ว.พ.พ. กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนหรือแก้ไขเล็กน้อยในความผิดเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 1 ปี จำเลยที่ 3จำคุก 6 เดือนและจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานฉ้อโกงด้วยรวม 38 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดฐานนี้ รวม 34 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน ส่วนความผิดที่เหลือ 4 กระทงวินิจฉัยว่าเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมที่ศาลชั้นต้นลงโทษไปแล้ว เช่นนี้ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดฐานปลอมและใช้ เอกสารปลอมและลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในความผิดฐานนี้ มีกำหนด 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218 สำหรับความผิด ฐานฉ้อโกง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียง 4 กระทง ซึ่งเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดที่เหลือ 34 กระทง ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษายืนและ ลงโทษจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทกฎหมายดังกล่าวด้วยเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย: แก้ไขโทษกรรมเดียว แต่ยังไม่เกิน 5 ปี – ห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 279 ให้จำคุก 4 ปี และตามมาตรา 317 ให้จำคุก 5 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 9 ปีลดโทษตามมาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 317 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4524/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจากครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเพียงครอบครอง ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย ห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 76 จำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 14,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 76 วรรคแรก จำคุก 3 เดือนและปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 1 ปี ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4524/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจากครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ฎีกาต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 76 จำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 14,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาตรา 76 วรรคแรก จำคุก 3 เดือนและปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 1 ปี ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4524/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจากครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นเพียงครอบครอง ศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อย ฎีกาต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 จำคุก 1 ปี 4 เดือน และปรับ 14,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าว มาตรา 76 วรรคแรก จำคุก 3 เดือนและปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 1 ปี ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
of 144