พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1880/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: การโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วถือเป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้แทนบริษัทได้เซ็นเช็คสั่งจ่ายเงินโดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับบริษัทด้วย และทุกครั้งที่เช็คของบริษัทขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยที่ 2 จะชำระเงินให้ผู้เสียหายบางส่วนแล้วออกเช็คฉบับใหม่ให้ผู้เสียหายไว้สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือตลอดมา การกระทำของจำเลยที่ 2 ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 มีเงินชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายได้ การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าบริษัทเป็นผู้ออกเช็คพิพาทให้แก่ผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนทำในนามของบริษัท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และฎีกาว่าผู้เสียหายบีบบังคับให้บริษัทและจำเลยที่ 2 ออกเช็คโดยรู้อยู่แล้วว่าผู้สั่งจ่ายไม่มีความสามารถชำระเงินตามเช็คได้ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี คู่ความจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ แต่คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือน ดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2 เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัว เพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2 เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัว เพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1828/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 69 ลงโทษจำคุก 4 เดือนดังนี้คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัวเพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 เพราะโจทก์ร่วมที่ 1 ก่อเหตุจะทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนและจำเลยที่ 2เข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการป้องกันตัวแต่เกินสมควรแก่เหตุการที่โจทก์ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการป้องกันตัวเพราะข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนโดยใช้แป๊บน้ำตีโจทก์ร่วมที่ 1 ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข็นรถเข็นออกจากประตูร้านโดยมิได้รู้ตัว ขณะโจทก์ร่วมที่ 1 เข้ายื้อแย่งแป๊บน้ำจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ก็เข้ามาชกต่อยโจทก์ร่วมที่ 1 นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังมา ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
การที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68 นั้นต้องมีองค์ประกอบข้อสุดท้ายว่าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การรับจำนำทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่จำเลยรับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์ที่รับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การรับจำนำทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิด
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาว่าจำเลยรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่จำเลยรับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยรู้ว่าทรัพย์ที่รับจำนำเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โทษลดเล็กน้อย ไม่รับฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เพียงแก้กำหนดโทษโดยลดโทษให้หนึ่งในสี่ และยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
จำเลยฎีกาว่า ในการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพราะไม่มีพยานหลักฐานอันใดที่ยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่รักษาทรัพย์หรือครอบครองทรัพย์นั้น ถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1424/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจากจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมที่สถานพินิจฯ ไม่ถือเป็นการลงโทษจำคุก จึงไม่อยู่ในข้อยกเว้นห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษ แม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กมิใช่การลงโทษจึงถือมิได้ว่าศาลทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 1 ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบของกฎหมายใหม่ต่อคดีเก่า: ศาลแก้ไขโทษฐานซื้อฝิ่นหลังมีการยกเลิก พ.ร.บ. ฝิ่น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานซื้อฝิ่นและฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครอง ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มี พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษยกเลิก พ.ร.บ. ฝิ่น เป็นผลให้การซื้อฝิ่นไม่เป็นความผิดอีกต่อไปแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาย่อมแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษายกฟ้องข้อหาซื้อฝิ่นนั้นเสีย ส่วนความผิดฐานมีฝิ่นดิบไว้ในความครอบครองนั้น พ.ร.บ. ฝิ่นซึ่งใช้อยู่ในขณะที่จำเลยกระทำความผิดเป็นคุณแก่จำเลยเพราะกำหนดโทษเบากว่า พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเป็นการฎีกาการใช้ดุลพินิจ ของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายยาเสพติดกระทบต่อความผิดเดิม ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ถูกต้องตามกฎหมายใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานซื้อฝิ่นและฐานมีฝิ่นดิบไว้ในครอบครอง ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้มี พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษยกเลิก พระราชบัญญัติฝิ่น เป็นผลให้การซื้อฝิ่นไม่เป็นความผิดอีกต่อไป แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อนี้ ศาลฎีกาย่อมแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษายกฟ้องข้อหาซื้อฝิ่นนั้นเสีย ส่วนความผิดฐานมีฝิ่นดิบไว้ในความครอบครองนั้น พระราชบัญญัติ ฝิ่นซึ่งใช้อยู่ในขณะที่จำเลยกระทำความผิดเป็นคุณแก่จำเลยเพราะกำหนดโทษเบากว่า พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเป็นการฎีกาการใช้ดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.(ที่มา-ส่งเสริม)
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษเป็นการฎีกาการใช้ดุลพินิจของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1167-1168/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: การกระทำโดยประมาทของทั้งสองฝ่าย ทำให้ผู้ตายไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย
คดีสองสำนวนซึ่งรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน สำนวนแรกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นรับไว้โดยมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยสำนวนที่สองศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องซึ่งตรงกันข้ามกับที่ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ จึงมีผลเท่ากับศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
บิดาเป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนบุตรซึ่งถึงแก่ความตายว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาท ทำให้บุตรโจทก์และบุคคลอื่นถึงแก่ความตายเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุเกิดรถชนกันเพราะผู้ตายซึ่งเป็นบุตรโจทก์มีส่วนกระทำการโดยประมาทผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้บุพการีย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา5 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
บิดาเป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนบุตรซึ่งถึงแก่ความตายว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาท ทำให้บุตรโจทก์และบุคคลอื่นถึงแก่ความตายเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เหตุเกิดรถชนกันเพราะผู้ตายซึ่งเป็นบุตรโจทก์มีส่วนกระทำการโดยประมาทผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย โจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้บุพการีย่อมไม่มีอำนาจจัดการแทนผู้ตายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา5 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.