พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตควบคุมการแปรรูปไม้, ความสมบูรณ์ของฟ้อง, อำนาจสอบสวน: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ริบของกลางทั้งหมดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนของกลางบางส่วนแก่จำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่า สถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้อง ก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใด จำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมาย และข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่า สถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้อง ก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใด จำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมาย และข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตควบคุมการแปรรูปไม้ & การฟ้องที่ไม่สมบูรณ์: ฎีกาห้ามในข้อเท็จจริง & อำนาจสอบสวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ริบของกลางทั้งหมดศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนของกลางบางส่วนแก่จำเลย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ศาลอุทธรณ์คงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้องก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใด จำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยได้ทราบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้แม้โจทก์มิได้แนบประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้องก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) เขตควบคุมมีอาณาบริเวณเพียงใด จำเลยกระทำผิดภายในเขตควบคุมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้
อำนาจของพนักงานสอบสวนจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายของทางราชการที่ระบุถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนนั้น ๆ ไว้ ดังนั้นการที่จะฟังว่าพนักงานสอบสวนผู้ใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมและใช้เอกสารปลอม: การพิจารณาความผิดกรรมเดียว vs. หลายกรรม และการลดโทษตามกฎหมาย
คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาตามฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางซึ่งเป็นเอกสารราชการของกระทรวงต่างประเทศ และจำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเบรุตประเทศเลบานอน แล้วประทับรอยตราปลอมดังกล่าวลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยปลอมขึ้น อันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท คือมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่ง ต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นและมีรอยตราปลอมประทับดังกล่าวไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ก็เป็นการใช้คนละเวลาคนละครั้งต่างกรรมกัน การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 252 แต่เนื่องจากมาตรา 263 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา 251 ได้กระทำผิดตามมาตรา 252 ด้วยให้ลงตามมาตรา 251 กระทงเดียว ดังนั้นเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251 และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252 รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรกจำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและครั้งที่สามจำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีก คงใช้รอยตราปลอมอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (หมายเหตุ วรรค 2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2529)
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางซึ่งเป็นเอกสารราชการของกระทรวงต่างประเทศ และจำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเบรุตประเทศเลบานอน แล้วประทับรอยตราปลอมดังกล่าวลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยปลอมขึ้น อันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท คือมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่ง ต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นและมีรอยตราปลอมประทับดังกล่าวไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ก็เป็นการใช้คนละเวลาคนละครั้งต่างกรรมกัน การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 252 แต่เนื่องจากมาตรา 263 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา 251 ได้กระทำผิดตามมาตรา 252 ด้วยให้ลงตามมาตรา 251 กระทงเดียว ดังนั้นเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251 และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252 รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรกจำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและครั้งที่สามจำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีก คงใช้รอยตราปลอมอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (หมายเหตุ วรรค 2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2529)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดกรรมและกระทงความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม การใช้กฎหมายหมวดความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
การที่จะวินิจฉัยว่าคดีใดต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไปศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดรวม 6 กระทงซึ่งแต่ละกระทงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อการกระทำของจำเลยในขั้นตอนที่ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ไทยประจำกรุงเบรุต แล้วเอารอยตราปลอมนั้นไปประทับลงในหนังสือเดินทางปลอม ก็เพื่อให้หนังสือเดินทางปลอมที่จำเลยทำขึ้นมีลักษณะข้อความและรอยตราที่ประทับเหมือนของจริง เมื่อผู้ใดพบเห็นจะได้หลงเชื่อและเข้าใจว่าเป็นหนังสือเดินทางที่แท้จริงอันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่งต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางนั้นไปใช้แสดง ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทาง ออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่เป็นการใช้คนละเวลา คนละครั้งต่างกรรมกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม คือมีความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265และมาตรา 251 ประกอบด้วย มาตรา 252 ซึ่งมาตรา 263ให้ลงโทษตามมาตรา 251 แต่กระทงเดียว เมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรก จำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและที่สาม จำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีกคงใช้รอยตราปลอม อันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียว ตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยรวม 6 กระทง จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3918/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่สาธารณะ: โจทก์ไม่ต้องระบุรายละเอียดความเป็นมาของที่ดิน และการเช่าระยะสั้นไม่ทำให้เสียสภาพสาธารณสมบัติ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลย 1 ปีปรับ 5,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคดี เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5) แล้ว
ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิได้
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคดี เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5) แล้ว
ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3918/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่สาธารณะ: โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายรายละเอียดความเป็นมาของที่ดิน หากพิสูจน์ได้ว่ายังคงเป็นที่ดินของรัฐ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย1ปีปรับ5,000บาทให้รอการลงโทษจำคุกไว้คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะอันเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็นที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใดเพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาคดีเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)แล้ว ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่3ปีก็เลิกเช่าแต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่าที่พิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา108ทวิได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3918/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์สถานะที่ดินสาธารณะและการฟ้องคดีบุกรุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลย 1 ปีปรับ 5,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ คดีจึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็น ที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้อง บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็น ที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใด เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้อง นำสืบในชั้นพิจารณาคดีเป็นฟ้องที่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) แล้ว
ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคง เป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ ได้
ฟ้องของโจทก์ในข้อหาบุกรุกยึดถือครอบครองทางสาธารณะ อันเป็น ที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้นโจทก์ไม่จำต้อง บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทนั้นเป็นที่ดินของรัฐได้อย่างไรและเป็น ที่ดินของรัฐตั้งแต่เมื่อใด เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์จะต้อง นำสืบในชั้นพิจารณาคดีเป็นฟ้องที่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) แล้ว
ที่พิพาทแม้ทางราชการจะเคยให้เอกชนเช่าอยู่ 3 ปีก็เลิกเช่า แต่ประชาชนสัญจรไปมาในที่พิพาทตลอดมาถือได้ว่า ที่พิพาทยังคง เป็นที่ดินของรัฐเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ ร่วมกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3874/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับฆาตกรรม ศาลอุทธรณ์แก้ไขบทมาตราและโทษจำคุก โจทก์ฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 72 จำคุก 3 ปี เป็นการแก้ทั้งบทกฎหมายและกำหนดโทษที่ลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขมาก คู่ความไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ 7 ปีมีบุตรด้วยกัน 3 คน และมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอ ๆ ขณะก่อนเกิดเหตุ จำเลยกับผู้ตายก็มีปากเสียงทะเลาะกันอีก การที่ผู้ตายบ่นว่ากล่าวหาจำเลยพาชายชู้มานอนที่เตียงนอนและไล่จำเลยออกจากบ้าน ทั้งขู่ว่าหากจำเลยไม่ไปจากบ้านจะฆ่าจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องสามีภรรยาเป็นปากเสียงทะเลาะกันตามปกติที่เคยเป็นมา จะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมิใช่เหตุบันดาลโทสะ
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ 7 ปีมีบุตรด้วยกัน 3 คน และมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอ ๆ ขณะก่อนเกิดเหตุ จำเลยกับผู้ตายก็มีปากเสียงทะเลาะกันอีก การที่ผู้ตายบ่นว่ากล่าวหาจำเลยพาชายชู้มานอนที่เตียงนอนและไล่จำเลยออกจากบ้าน ทั้งขู่ว่าหากจำเลยไม่ไปจากบ้านจะฆ่าจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องสามีภรรยาเป็นปากเสียงทะเลาะกันตามปกติที่เคยเป็นมา จะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมิใช่เหตุบันดาลโทสะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3874/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษและข้อกฎหมายโดยศาลอุทธรณ์ ทำให้โจทก์มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การพิจารณาเหตุบันดาลโทสะในคดีอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288จำคุก15ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288,72จำคุก3ปีเป็นการแก้ทั้งบทกฎหมายและกำหนดโทษที่ลงโทษจำเลยเป็นการแก้ไขมากคู่ความไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ7ปีมีบุตรด้วยกัน3คนและมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอๆขณะก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายก็มีปากเสียงทะเลาะกันอีกการที่ผู้ตายบ่นว่ากล่าวหาจำเลยพาชายชู้มานอนที่เตียงนอนและไล่จำเลยออกจากบ้านทั้งขู่ว่าหากจำเลยไม่ไปจากบ้านจะฆ่าจำเลยนั้นก็เป็นเรื่องสามีภรรยาเป็นปากเสียงทะเลาะกันตามปกติที่เคยเป็นมาจะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจึงมิใช่เหตุบันดาลโทสะ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3874/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาเหตุบันดาลโทสะในคดีอาญา มาตรา 288 การแก้ไขคำพิพากษา และสิทธิในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุก 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,72 จำคุก 3 ปี เป็นการแก้ทั้งบทกฎหมายและกำหนดโทษที่ลงโทษจำเลย เป็นการแก้ไขมาก คู่ความไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ 7 ปีมีบุตรด้วยกัน 3 คนและมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอ ๆ ขณะก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตาย ก็มีปากเสียงทะเลาะกันอีก การที่ผู้ตายบ่นว่ากล่าวหาจำเลยพาชายชู้ มานอนที่เตียงนอนและไล่จำเลยออกจากบ้าน ทั้งขู่ว่าหากจำเลยไม่ไป จากบ้านจะฆ่าจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องสามีภรรยาเป็นปากเสียงทะเลาะกัน ตามปกติที่เคยเป็นมา จะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมิใช่เหตุบันดาลโทสะ
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากันมาประมาณ 7 ปีมีบุตรด้วยกัน 3 คนและมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอ ๆ ขณะก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตาย ก็มีปากเสียงทะเลาะกันอีก การที่ผู้ตายบ่นว่ากล่าวหาจำเลยพาชายชู้ มานอนที่เตียงนอนและไล่จำเลยออกจากบ้าน ทั้งขู่ว่าหากจำเลยไม่ไป จากบ้านจะฆ่าจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องสามีภรรยาเป็นปากเสียงทะเลาะกัน ตามปกติที่เคยเป็นมา จะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่ จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงมิใช่เหตุบันดาลโทสะ