พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียว vs. หลายกรรม: ปลอมแปลงเอกสารในคราวเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยรวม3กระทงๆละ2ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยกระทำผิดเพียงกรรมเดียวจำคุก2ปีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218 การที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับไปจับหนังสือเดินทางปลอมมาให้ในคราวเดียวกันและหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับกระทำขึ้นในคราวเดียวกันนั้นถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวมิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียว vs. หลายกรรม: ปลอมเอกสารราชการในคราวเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยรวม3กระทงๆละ2ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยกระทำผิดเพียงกรรมเดียวจำคุก2ปีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ.มาตรา218 การที่เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้สายลับไปจับหนังสือเดินทางปลอมมาให้ในคราวเดียวกันและหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับกระทำขึ้นในคราวเดียวกันนั้นถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวมิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ เนื่องจากฎีกาเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ชักปืนออกจากหน้าท้องส่งให้จำเลยที่ 1 จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 มีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งอาวุธปืนของกลางและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ถือปืนไว้ชั่วคราวมิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตน จึงไม่ถือว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯนั้นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 3 ยกขึ้นมาเป็นข้อฎีกาเพื่อปรับบทความผิดนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เป็นฎีกาที่ให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดกระทงแรกจำคุก 2 ปี กระทงหลังจำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยที่ 3 มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองแล้วพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะนั้น เห็นได้ว่ามีเจตนาที่จะทำให้เกิดผลเป็นความผิดหลายอย่างต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
จำเลยที่ 3 มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองแล้วพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะนั้น เห็นได้ว่ามีเจตนาที่จะทำให้เกิดผลเป็นความผิดหลายอย่างต่างกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต: ปัญหาข้อเท็จจริงและกรรมต่างกัน
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่3ชักปืนออกจากหน้าท้องส่งให้จำเลยที่1จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่3มีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตซึ่งอาวุธปืนของกลางและพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรจำเลยที่3ฎีกาว่าจำเลยที่3ถือปืนไว้ชั่วคราวมิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตนจึงไม่ถือว่าจำเลยที่3เป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯนั้นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่3ยกขึ้นมาเป็นข้อฎีกาเพื่อปรับบทความผิดนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นฎีกาที่ให้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่างกับที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่3ในความผิดกระทงแรกจำคุก2ปีกระทงหลังจำคุก1ปีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนฎีกาของจำเลยที่3จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้. จำเลยที่3มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองแล้วพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะนั้นเห็นได้ว่ามีเจตนาที่จะทำให้เกิดผลเป็นความผิดหลายอย่างต่างกันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก3เดือนปรับ2,000บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218ฎีกาจำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินแปลงที่จำเลยบุกรุกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันอันไม่ใช่ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา362ข้อที่ว่าที่ดินแปลงที่จำเลยบุกรุกจะเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นเบื้องต้นต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยกรณีโต้เถียงข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฎีกาจำเลยกล่าวอ้างว่าที่ดินแปลงที่จำเลยบุกรุกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน อันไม่ใช่ทรัพย์สินของบุคคลภายนอกคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ข้อที่ว่าที่ดินแปลงที่จำเลยบุกรุกจะเป็นที่สาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นเบื้องต้น ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218: การโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานและดุลพินิจการลงโทษ ถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน1ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218. ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าพนักงานจับกุมตัวจำเลยตามที่ผู้เสียหายแจ้งจำเลยหลบหนีไประหว่างที่เจ้าพนักงานควบคุมตัวจำเลยจำเลยฎีกาโต้แย้งว่าตามคำเบิกความของพยานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่ามีการจับกุมตัวจำเลยข้อโต้แย้งของจำเลยเป็นการโต้แย้งในเรื่องการฟังพยานว่าควรจะฟังไปในทางใดซึ่งเป็นดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1039/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งดุลพินิจศาลในการฟังพยานและลงโทษ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน1ปีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ.มาตรา218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเจ้าพนักงานจับกุมตัวจำเลยตามที่ผู้เสียหายแจ้งจำเลยหลบหนีไประหว่างที่เจ้าพนักงานควบคุมตัวจำเลยจำเลยฎีกาโต้แย้งว่าตามคำเบิกความของพยานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่ามีการจับกุมตัวจำเลยข้อโต้แย้งของจำเลยเป็นการโต้แย้งในเรื่องการฟังพยานว่าควรจะฟังไปในทางใด ซึ่งเป็นดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 829/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลอุทธรณ์ลดโทษและให้รอการลงโทษเหมาะสมกับพฤติการณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก2ปีโดยไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์แก้เป็นจำคุก1ปี6เดือนและปรับ15,000บาทให้รอการลงโทษไว้เป็นการแก้ไขมากโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ข้อหาความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตปรากฏว่าจำเลยมีเครื่องยนต์เลื่อยไม้ขนาด1แรงม้า1เครื่องพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องเลื่อย1ชุด ตั้งอยู่บริเวณชายคาบ้านจำเลยและมีขี้เลื่อยอยู่ใต้แท่นเลื่อยประมาณ1ปีการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก1ปี6เดือนและปรับ15,000บาทให้รอการลงโทษจำคุกไว้2ปีเป็นการใช้ดุลพินิจตามพฤติการณ์แห่งคดีเหมาะสมแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 705/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาขอริบของกลางที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่ริบ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย1ปี6เดือนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจไม่ริบรถจักรยานสองล้อของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดแล้วโจทก์ยังฎีกาขอให้ริบอีกจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว.