พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4683/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ว.พ.พ. เนื่องจากคดีมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็น 2 กระทงแต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาทำร้าย และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน กับฎีกาขอให้ลดโทษ และขอรอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาทำร้าย และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน กับฎีกาขอให้ลดโทษ และขอรอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4296/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: การปรับบทลงโทษและการพิจารณาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานเพราะไม่ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานการเงินโดยเฉพาะ และจำเลยขาดเจตนายักยอกทรัพย์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
การปรับบทมาตราลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
การปรับบทมาตราลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4296/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดบทลงโทษในความผิดอาญา: เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ - เลือกใช้บทเฉพาะมากกว่าบททั่วไป
จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานเพราะไม่ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพนักงานการเงินโดยเฉพาะและจำเลยขาดเจตนายักยอกทรัพย์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก การปรับบทมาตราลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำกัดอำนาจการฎีกาในข้อเท็จจริง และการพิจารณาความผิดกรรมเดียวในคดีฉ้อโกง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่ง และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้ว จึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้า ประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำเลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว และเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย 5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้าง ชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว และเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย 5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4263/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 และการพิจารณาความผิดกรรมเดียวต่อผู้เสียหายหลายราย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่าแม้จำเลยจะได้ชำระราคาสินค้าด้วยเช็คและเช็คบางฉบับเรียกเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวในทางแพ่งและเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คอยู่แล้วจึงซ้ำซ้อนกับความผิดฐานฉ้อโกงนั้น ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์เพียงหยิบยกข้อเท็จจริงในเรื่องจำเลยจ่ายเช็คชำระราคาสินค้าประกอบการวินิจฉัยเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง หาได้วินิจฉัยในเรื่องความผิดของจำเลยเนื่องจากจำเลยจ่ายเช็คชำระหนี้ไม่ข้อที่จำเลยฎีกาจึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นฎีกาแตกต่างจากที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาโต้แถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างดังกล่าวไปอ้างใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้าจากผู้เสียหายหลายครั้งการซื้อชำระด้วยเงินสดบ้างชำระด้วยเช็คบ้าง ตอนแรกเช็คเบิกเงินได้บ้างซึ่งเป็นเพียงอุบายของจำเลยกับพวกเพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและขายสินค้าให้โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฉ้อโกงเอาสินค้าของผู้เสียหายโดยไม่ชำระราคามาแต่แรกพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยกับพวกแม้จะกระทำหลายครั้งแต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหายการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียวและเมื่อการกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหายแต่ละคนเป็นความผิดแต่ละกรรม ดังนั้น การกระทำของจำเลยกับพวกต่อผู้เสียหาย5 รายจึงเป็นความผิด 5 กระทง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3811/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงอำนาจผู้ร้องทุกข์และดุลพินิจการรับฟังพยาน
จำเลยฎีกาว่าผู้ร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมเป็นเพียงลูกจ้างมิใช่ตัวแทน ของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้ไว้ในขณะร้องทุกข์ การร้องทุกข์จึงไม่ถูกต้องการสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการสอบสวน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจ ในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3811/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงการมอบอำนาจและดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยาน
จำเลยฎีกาว่าผู้ร้องทุกข์แทนโจทก์ร่วมเป็นเพียงลูกจ้างมิใช่ตัวแทน ของโจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็ไม่ได้มอบอำนาจให้ไว้ในขณะร้องทุกข์ การร้องทุกข์จึงไม่ถูกต้อง การสอบสวนคดีนี้จึงไม่ชอบ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์สร้างพยานหลักฐานเท็จขึ้นมาเป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อข้อเท็จจริงในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของศาลจึง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3760/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: อายุจำเลยและการพิจารณาคดีในศาลเด็กและเยาวชน
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือนและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ที่จำเลยฎีกาว่ามีอายุเพียง 16 ปีเศษ จึงควรได้รับโทษสถานเบา และคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษานั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยมีอายุ 19 ปี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามดังกล่าวแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยฎีกาว่ามีอายุเพียง 16 ปีเศษ จึงควรได้รับโทษสถานเบา และคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษานั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนว่าจำเลยมีอายุ 19 ปี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว เมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามดังกล่าวแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3760/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงอายุจำเลยที่เป็นข้อเท็จจริงในสำนวน ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือนและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นคดีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218 ที่จำเลยฎีกาว่ามีอายุเพียง 16 ปีเศษจึงควรได้รับโทษสถานเบา และคดีอยู่ในเขตอำนาจของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางศาลชั้นต้น ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษานั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏใน สำนวนว่าจำเลยมีอายุ19ปี เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวเมื่อฎีกาของจำเลยต้องห้ามดังกล่าวแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3462/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากลักทรัพย์เป็นฉ้อโกงและการพิจารณาข้อต่อสู้ของจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทลงโทษจำเลยจากลักทรัพย์เป็นฉ้อโกงแต่คงให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี เท่ากับศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อย คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงมิได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฟ้องว่าลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่าเป็นฉ้อโกง เมื่อจำเลยนำสืบว่ากระบือที่จำเลยรับมาเป็นกระบือของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยหลงต่อสู้ ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192วรรคสามได้