พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3261/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกจากบทบัญญัติใหม่ที่บัญญัติถึงการรวมโทษที่เป็นคุณแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 แต่ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือนรวม 173 กระทง เป็นโทษจำคุก 576 ปี8 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 บทเดียว ส่วนกำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ไขการรวมกระทงลงโทษโดยให้ลดโทษจำเลยลงเหลือเพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่อันเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
ขณะที่คดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2526 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ไขการรวมกระทงลงโทษโดยให้ลดโทษจำเลยลงเหลือเพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่อันเป็นกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2928-2934/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา, อายุความ, เจตนาบุกรุก และการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต
การกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคารนั้นเทศบาลหรือทางราชการเป็นผู้เสียหาย เป็นเรื่องของเทศบาลหรือทางราชการที่จะเข้าควบคุมฟ้องร้องเอาเอง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นราษฎรหรือเอกชนไม่ใช้ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คดีที่ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้ววินิจฉัยผลักหน้าที่ให้จำเลยสืบแก้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ผิดกฎหมายเพราะในปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้
คดีที่ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน การที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้ววินิจฉัยผลักหน้าที่ให้จำเลยสืบแก้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ผิดกฎหมายเพราะในปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2928-2934/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับการก่อสร้างและการบุกรุก, อายุความ, เจตนาการครอบครอง
การกระทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคารนั้นเทศบาลหรือทางราชการเป็นผู้เสียหายเป็นเรื่องของเทศบาลหรือทางราชการที่จะเข้าควบคุมฟ้องร้องเอาเอง โจทก์ร่วมซึ่งเป็นราษฎรหรือเอกชนไม่ใช้ผู้เสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีที่ฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนการที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามฟ้องแล้ววินิจฉัยผลักหน้าที่ให้จำเลยสืบแก้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ผิดกฎหมายเพราะในปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธจนเป็นอันตรายสาหัส ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม ไม่รับฟังเหตุบันดาลโทสะและข้อต่อสู้เรื่องการชุลมุน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วม จึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขนปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 (8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้านาง พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วม จึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขนปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 (8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้านาง พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2802/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธอันตราย ศาลยืนตามข้อวินิจฉัยศาลอุทธรณ์เรื่องบาดแผลสาหัสและเหตุบันดาลโทสะ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขน ปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษ จึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ.ไปเห็นจำเลยตบหน้านางพ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าแล้วท้าทายกัน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ลักษณะที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
โจทก์ร่วมถูกฟันด้วยมีด มีบาดแผลฉีกขาด ขอบเรียบที่ต้นแขน ปลายแขน ส่วนบนและบริเวณข้อมือขวารวม 3 แห่งขนาดบาดแผลยาว 5 เซนติเมตร กว้าง 1 เซนติเมตร ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อแขนและตัดผ่านประสาทที่ไปเลี้ยงแขนต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษ จึงหายเป็นปกติแต่ทำงานหนักไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บของโจทก์ร่วมดังกล่าวถึงอันตรายสาหัสต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) แล้ว
โจทก์ร่วมวิ่งตามนาง พ.ไปเห็นจำเลยตบหน้านางพ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลักนาง พ. ให้พ้นทางไป ขณะนั้นเองจำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้งลักษณะการทำร้ายของจำเลยดังกล่าวมิใช่เนื่องในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องจำเลยทั้งห้างฯ และหุ้นส่วนผู้จัดการในฐานะส่วนตัว ศาลพิพากษาชอบด้วยกฎหมาย
คำฟ้องของโจทก์ตรงช่องคู่ความระบุชื่อจำเลยว่า ห้างฯ อ. โดย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัว ที่ 1 จำเลย หน้าคำฟ้องก็ระบุว่า โจทก์ขอยื่นฟ้องห้างฯ อ. โดย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 1 แต่คำบรรยายฟ้องกล่าวว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งประทับตรา ห้างฯ อ. ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและ ในฐานะส่วนตัวสั่งจ่ายมอบให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ ดังนี้ เป็นการฟ้องห้างฯ อ. โดย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นจำเลยที่ 1 และ ส. ในฐานะส่วนตัวเป็นจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2606/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องจำเลยทั้งห้างฯ และผู้จัดการในฐานะส่วนตัว: ศาลพิพากษายืนคำสั่งประทับฟ้องเฉพาะจำเลยในฐานะส่วนตัวได้
คำฟ้องของโจทก์ตรงช่องคู่ความระบุชื่อจำเลยว่า ห้างฯ อ. โดย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัว ที่ 1 จำเลย หน้าคำฟ้องก็ระบุว่าโจทก์ขอยื่นฟ้องห้างฯ อ. โดย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 1 แต่คำบรรยายฟ้องกล่าวว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งประทับตราห้างฯ อ. ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวซึ่งจ่ายมอบให้แก่โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ ดังนี้ เป็นการฟ้องห้างฯ อ. โดย ส. หุ้นส่วนผู้จัดการเป็นจำเลยที่ 1 และ ส. ในฐานะส่วนตัวเป็นจำเลยที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2568-2569/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษแต่ไม่เปลี่ยนบทมาตราความผิด โจทก์ฎีกาขอเพิ่มโทษไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279,285 ลงโทษจำเลยตามมาตรา 285 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยสำนวนละ 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ประกอบด้วยมาตรา 279 จำคุกจำเลยสำนวนละ 3 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์มิได้แก้บทมาตราแห่งความผิด เพียงแต่ปรับบทกฎหมายที่ลงโทษให้ถูกต้อง ทั้งโทษเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้แล้วก็ให้จำคุกจำเลยสำนวนละไม่เกิน 5 ปีจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คู่ความต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2568-2569/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากเป็นการแก้ไขโทษเล็กน้อยและฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 279, 285 ลงโทษจำเลยตามมาตรา 285 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลยสำนวนละ 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 285 ประกอบด้วยมาตรา 279 จำคุกจำเลยสำนวนละ 3 เดือน เป็นการที่ศาลอุทธรณ์มิได้แก้บทมาตราแห่งความผิด เพียงแต่ปรับบทกฎหมายที่ลงโทษให้ถูกต้อง ทั้งโทษเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้แล้วก็ให้จำคุกจำเลยสำนวนละไม่เกิน 5 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คู่ความต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2355/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษโดยรอการลงโทษ ถือเป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ในการที่จะปรับว่าคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องพิจารณากระทงความผิดเป็นกระทงกระทงไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงแรก 4,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 1 อีก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี และศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้อันเป็นการแก้มากก็ตาม ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงแรก 4,000 บาท และให้จำคุกจำเลยที่ 1 อีก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี และศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ เกินกำหนดที่ว่ามานี้ ถึงแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้อันเป็นการแก้มากก็ตาม ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ห้ามมิให้คู่ความ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219