พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการสิ้นสุดสิทธิครอบครอง: การกระทำไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คดีอาญาที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนถ้าข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการสิ้นสุดสิทธิครอบครอง กรณีบุกรุกที่ดิน ผู้เสียหายไม่ฟ้องแย่งคืนภายใน 1 ปี
คดีอาญาที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนถ้าข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงหลายกรรมต่างกัน แม้ออกเช็คชำระราคารวม แต่การส่งมอบสินค้าแต่ละครั้งถือเป็นความผิดสำเร็จ
สิทธิฎีกาของคู่ความนั้นจะต้องพิจารณาเป็นกระทงความผิดไปศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานฉ้อโกงกระทงละ 2 ปีรวม 3 กระทง เป็น 6 ปี และจำคุกฐานใช้เอกสารปลอมอีกกระทงหนึ่งมีกำหนด 3 ปี รวม 9 ปี ดังนี้ จำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
การที่จำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งสินค้าให้ 3 ครั้งและออกเช็คปลอมชำระราคาให้ในคราวเดียวการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จทุกครั้งที่ผู้เสียหายส่งมอบสินค้าให้การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
การที่จำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งสินค้าให้ 3 ครั้งและออกเช็คปลอมชำระราคาให้ในคราวเดียวการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จทุกครั้งที่ผู้เสียหายส่งมอบสินค้าให้การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงฐานความผิดจากกรรมเดียวเป็นหลายกรรม และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยเบียดบังเอาเงินไปคราวเดียวทั้งหมดเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เพียงกรรมเดียวให้จำคุก 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เพียงว่า การที่จำเลยได้เบียดบังเอาเงินไปแต่ละงวดเป็นความผิดงวดละกรรมรวม 13 กรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และยังคงลงโทษจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปีนั้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1997/2521)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 371/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษทางอาญา: ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะกำหนดโทษจาก 3 ปี เป็น 1 ปี 6 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย
การโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
การโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 281/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ การบรรยายฟ้องที่ชัดเจนถึงเจตนาและพฤติการณ์ซ่อนเร้นทรัพย์สินเพียงพอต่อการดำเนินคดี
โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนาร่วมกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่1และที่2ได้รับชำระหนี้ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้อยู่แล้วข้อความดังกล่าวจำเลยที่3ย่อมเข้าใจคำฟ้องได้ดีว่าโจทก์ได้อ้างว่าจำเลยที่3รู้และได้กระทำไปโดยรู้อยู่แล้วว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่2ต่อศาลอาญาและกำลังใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ฟ้องของโจทก์จึงครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา350แล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่3ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินโดยกล่าวอ้างว่าเป็นของตนการซ่อนเร้นนั้นย่อมเข้าใจความหมายได้ชัดเจนดีอยู่แล้วส่วนจะกระทำด้วยวิธีอย่างใดเป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่3ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สินโดยกล่าวอ้างว่าเป็นของตนการซ่อนเร้นนั้นย่อมเข้าใจความหมายได้ชัดเจนดีอยู่แล้วส่วนจะกระทำด้วยวิธีอย่างใดเป็นเรื่องรายละเอียดซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 257/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลล่าง: มาตรา 218 ว.พ.ก.ค.
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยลงโทษปรับจำเลย 2,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 5 ปีนั้น คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218: ข้อโต้แย้งเรื่องพยานหลักฐานเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้ลงโทษจำเลยฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต กระทงหนึ่ง จำคุก 5ปี กับฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 5 ปีอีกกระทงหนึ่ง คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังและเชื่อถือได้ว่าจำเลย กระทำความผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามโดยบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3912/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218: ข้อโต้แย้งเรื่องพยานหลักฐานเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้ลงโทษจำเลยฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่รับอนุญาต กระทงหนึ่ง จำคุก 5ปี กับฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 5 ปีอีกกระทงหนึ่ง คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังและเชื่อถือได้ว่าจำเลย กระทำความผิด เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามโดยบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งตัวผู้เยาว์เข้าสถานพินิจไม่ใช่การลงโทษ จึงไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิด ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้น มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุก จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218