คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 218

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์จากสาคูในที่ดินของผู้อื่น: ปัญหาข้อเท็จจริงห้ามฎีกา
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน. โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยลักจากสาคูรายพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์. จำเลยฎีกาเถียงว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินที่ปลูกต้นจากสาคู. จึงมิใช่เจ้าของจากสาคู. ดังนี้ เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง. ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจำเลยเนื่องจากให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขได้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว. และใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยมา 3 ปี. ยังไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะพึงแก้ไข. แต่เห็นว่าการที่จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปจับรถคันของผู้เสียหายออก. และภายหลังได้นำเอาไปจอดไว้ที่เดิมนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา. นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษซึ่งจำเลยสมควรจะได้รับการลดโทษ.จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ลดโทษจำเลย 1ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78. คงจำคุกจำเลยไว้2 ปี นั้น. เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น. แล้วแก้ไขเล็กน้อยในการใช้ดุลพินิจลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78. คดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218.
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่. ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจำเลยจากคำให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ถือเป็นการแก้ไขเล็กน้อยในดุลพินิจศาลอุทธรณ์ ห้ามฎีกา
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วและใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยมา 3 ปียังไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะพึงแก้ไขแต่เห็นว่าการที่จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปจับรถคันของผู้เสียหายออกและภายหลังได้นำเอาไปจอดไว้ที่เดิมนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับว่ามีเหตุบรรเทาโทษซึ่งจำเลยสมควรจะได้รับการลดโทษจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ลดโทษจำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้2 ปี นั้นเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นแล้วแก้ไขเล็กน้อยในการใช้ดุลพินิจลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษอาญาจากการให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ถือเป็นการแก้ไขเล็กน้อยในดุลพินิจศาลอุทธรณ์ จึงไม่อาจฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว และใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยมา 3 ปี ยังไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะพึงแก้ไขแต่เห็นว่าการที่จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปจับรถคันของผู้เสียหายออก และภายหลังได้นำเอาไปจอดไว้ที่เดิมนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษซึ่งจำเลยสมควรจะได้รับการลดโทษ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ลดโทษจำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี นั้น เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แล้วแก้ไขเล็กน้อยในการใช้ดุลพินิจลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีเด็กและเยาวชน เมื่อศาลเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรม
คดีอาญาของศาลคดีเด็กและเยาวชนซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างโดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้นถือว่าศาลมิได้ลงโทษจำเลยโดยจำคุกเกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีเด็กและเยาวชนเมื่อศาลเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นฝึกอบรม ไม่เกิน 5 ปี
คดีอาญาของศาลคดีเด็กและเยาวชนซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างโดยให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้นถือว่าศาลมิได้ลงโทษจำเลยโดยจำคุกเกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ และการลดโทษโดยคำนึงถึงการให้การเท็จต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษ เป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ผู้ตายเมาสุราแล้วเข้ากอดปล้ำภรรยาจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีแทงผู้ตายไปหลายที จนกระทั้งผู้ตายขาดใจตาย การที่ผู้ตายชกต่อยจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงตาย เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
เมื่อจำเลยได้ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้มอบตัวแก่เจ้าพนักงาน แต่จำเลยไม่ได้ให้ความสัจความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา จำเลยยังเบี่ยงบ่ายต่อสู้คดีอ้างป้องกันอันเป็นเหตุที่จะไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ควรได้รับการลดให้มากถึงกึ่งหนึ่งอันเป็นการลดโทษจนเต็มที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยเพียง 1 ใน 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและการลดโทษในคดีทำร้ายถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษ เป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218
ผู้ตายเมาสุราแล้วเข้ากอดปล้ำภรรยาจำเลยก่อน จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายไปหลายที จนกระทั่งผู้ตายขาดใจตาย การที่ผู้ตายชกต่อยจำเลยโดยไม่มีอาวุธแต่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายจนถึงตาย เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
เมื่อจำเลยได้ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยได้เข้ามอบตัวแก่เจ้าพนักงานแต่จำเลยไม่ได้ให้ความสัจความรู้อันจะเป็นประโยชน์แก่ทางพิจารณาต่อศาลอย่างตรงไปตรงมา จำเลยยังเบี่ยงบ่ายต่อสู้คดีอ้างป้องกันอันเป็นเหตุที่จะไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ควรได้รับการลดให้มากถึงกึ่งหนึ่ง อันเป็นการลดโทษจนเต็มที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พิพากษาแก้ให้ลดโทษให้จำเลยเพียง 1 ใน 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คสำคัญกว่าการไม่มีเงิน: ปัญหาข้อเท็จจริงห้ามฎีกา
การที่จะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คนั้น มิใช่ว่า ถ้าจำเลยออกเช็คแล้วไม่มีเงินใช้ตามเช็คจะเป็นความผิดอาญาเสมอไป จะต้องมีกรณีตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ คือ 1 ออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฯลฯ เจตนาดังกล่าวนี้เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความผิด เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังแล้วว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค โจทก์ร่วมเถียงว่ามีเจตนาเช่นนั้น เป็นการเถียงข้อเท็จจริงว่ามีพฤติการณ์ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นความผิดเกิดขึ้นหรือไม่จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง. (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2509).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเรียกหนี้หลังเลิกบริษัท, อำนาจทนาย, และการตีราคาไม้ของกลาง
แม้การชำระบัญชีสิ้นสุดไปแล้ว กฎหมายยังให้เจ้าหนี้ฟ้องเรียกหนี้สินที่บริษัทหรือผู้ถือหุ้นเป็นหนี้อยู่ได้
กรณีเรื่องนี้ว่ากล่าวกันให้บริษัทผู้ร้องต้องรับผิดเป็นเงินวางศาลเมื่อบริษัทผู้ร้องรับไม้ของกลางไปและได้ว่ากล่าวกันก่อนเลิกบริษัท ฉะนั้น ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ประกอบมาตรา 1272 คู่กรณีจึงคงว่ากล่าวคดีกันต่อมาได้และทนายของบริษัทผู้ร้องคงมีอำนาจดำเนินคดีต่อมาตามที่ได้รับแต่งตั้งไว้ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้บริษัทผู้ร้องนำเงินราคาไม้ของกลางที่ยังขาด 1,398,000 บาท มาวางศาลภายใน 15 วันบริษัทผู้ร้องฎีกาต่อมาได้ไม่ต้องห้ามไม่อยู่ภายในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
บริษัทผู้ร้องขอให้คิดราคาไม้ของกลาง 4 เท่าของอัตราค่าภาคหลวงราคานี้กรมป่าไม้ขายให้เฉพาะองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งเป็นองค์การรัฐบาลเท่านั้นการตีราคาในคดีนี้ต้องถือราคาในท้องตลาดเป็นเกณฑ์ คือลูกบาศก์เมตรละ 2,050 บาท
of 144