คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 218

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8344/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาอาญา: แก้ไขบทและโทษ vs. แก้ไขเฉพาะโทษ และความผิดฐานชิงทรัพย์/ลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิตฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะโทรมหญิงและลงโทษประหารชีวิตฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้โดยลดโทษให้หนึ่งในสามลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน และจำคุกตลอดชีวิตตามลำดับ จึงเป็นการแก้เฉพาะโทษ กรณีเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองเกินห้าปี ดังนี้ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตายตกไปตามกันอันหมายถึงให้ลงโทษประหารชีวิตซึ่งเป็นฎีกาดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ซึ่งหมายความถึงโจทก์ร่วมด้วยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคสอง
ส่วนความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานเวลากลางคืนลดโทษให้คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 4 ปี เป็นการแก้ทั้งบทและโทษกรณีเป็นการแก้ไขมาก จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7752/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม เหตุโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี รวมจำคุก10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โดยแยกพิจารณาโทษแต่ละกระทงเป็นเกณฑ์ ที่จำเลยฎีกาว่า การตรวจค้นบ้านจำเลยไม่มีหมายค้นเพราะไม่ใช่การกระทำความผิดซึ่งหน้าเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปเคาะประตูบ้านจำเลย แล้วภริยาจำเลยออกไปเปิดประตูในขณะนั้นจำเลยยังนอนอยู่ยังไม่ตื่นไม่มีการล่อซื้อ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าค้นโดยพลการ กระทำผิดกฎหมายในการตรวจค้นนั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7014/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาเรื่องค่าปรับและวิธีการกักขังแทนค่าปรับในคดีศุลกากรและป่าไม้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200บัญญัติว่าให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ จึงนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคสอง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 มาใช้บังคับให้ผู้อุทธรณ์เป็นผู้นำส่งสำเนาอุทธรณ์หาได้ไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาไว้ในตอนต้นว่า "ฐานร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ปรับรวมเป็นเงิน 26,000 บาท" แม้จะระบุเพิ่มเติมต่อไปว่า"ซึ่งจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระกันคนละกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 13,000 บาท"ก็ถือได้ว่าเป็นเพียงศาลชั้นต้นประสงค์จะแบ่งความรับผิดของจำเลยทั้งสองให้เป็นสัดส่วนเพื่อสะดวกแก่การกักขังแทนค่าปรับเท่านั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้เฉลี่ยกักขังไปตามสัดส่วนของจำเลยแต่ละคน ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะเรื่องค่าปรับว่าเป็นการปรับรวมกันมิใช่แยกปรับเป็นรายบุคคลในความผิดฐานร่วมกันรับเอาไว้ซึ่งของต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร และแก้ไขเรื่องการจ่ายสินบนนำจับของผู้นำจับและรางวัลของผู้จับโดยแยกให้ชัดเจนตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯและพระราชบัญญัติศุลกากรฯ เช่นนี้ เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกินห้าปี จำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษหนักเกินไปเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยทั้งสองถูกปรับรวมกันตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯไม่เกิน 40,000 บาท จึงกักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 30 เมื่อมีจำเลย 2 คน ต้องแบ่งการกักขังแทนค่าปรับละ 6 เดือน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6242/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม - โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง - ศาลไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี เพิ่มโทษจำคุกกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 15 ปีเมื่อลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งแล้วคงให้จำคุก 7 ปี 6 เดือน กับให้บวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จึงมีผลเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5681/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คดีแก้ไขโทษเล็กน้อย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตและมีไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ความผิดฐานผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานผลิตซึ่งมีโทษหนักที่สุด ให้จำคุกตลอดชีวิต ลงโทษฐานจำหน่าย จำคุก 5 ปี ลดโทษหนึ่งในสามแล้วฐานผลิต จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานจำหน่ายจำคุก 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีน แต่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เช่นนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดทั้งสองข้อหาตรงกันกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษในความผิดฐานนี้ ความผิดฐานนี้จึงมีการแก้ไขเฉพาะโทษ ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น ความผิดทั้งสองฐานศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน ห้าปี จึงเป็นคดีต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5303/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาญา: การพิจารณาโทษกระทง และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษและฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้จำคุกกระทงละ 5 ปี แม้ศาลชั้นต้นรวมโทษเข้าด้วยกันเป็นจำคุก 10 ปี แต่การพิจารณาสิทธิฎีกาจะต้องแยกโทษแต่ละกระทงเป็นเกณฑ์ ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า พยานโจทก์เบิกความมีพิรุธไม่น่าเชื่อถือว่ามีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้จากจำเลย และมีการค้นพบเมทแอมเฟตามีนในบ้านจำเลย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมามีพิรุธและน่าสงสัยหลายประการ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ฎีกาของจำเลยที่ว่า เจ้าพนักงานตำรวจไม่มีหมายค้นและไม่ได้เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า การตรวจค้นบ้านและจับกุมจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย บันทึกการตรวจค้นและจับกุมจึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานลงโทษจำเลยได้นั้นการที่จะวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นบ้านจำเลยโดยมีหมายค้นหรือไม่ และมีอำนาจจับกุมจำเลยโดยไม่มีหมายจับได้หรือไม่ จำเป็นต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า เจ้าพนักงานตำรวจพบพฤติกรรมซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดมาแล้วสด ๆ อันถือได้ว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าหรือไม่ จึงเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน การรอการลงโทษ และการแก้ไขคำพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยตั้งใจที่จะเข้าไปเก็บเอาไม้กฤษณาเพื่อนำออกไปขายหาเลี้ยงชีพ แต่ก่อนที่จำเลยจะได้ไม้กฤษณามาเพื่อนำออกไปขายจำเลยได้ตัดโค่นต้นไม้กฤษณาและเซาะต้นไม้กฤษณาเป็นชิ้นแล้วรวบรวมไว้ ซึ่งเป็นเจตนาและการกระทำต่างหากจากการครอบครองเพื่อนำออกไปขาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยเนื่องจากเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาว่าโทษที่ศาลล่างทั้งสองลงแก่จำเลยนั้นเหมาะสมหรือไม่ แต่ต้องไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาต้องห้ามในคดีแก้ไขโทษเล็กน้อย และการอนุญาตฎีกาโดยมิชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนมีกำหนด2 เดือน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษหรือจำหน่ายคดีจากสารบบความโดยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งได้พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกา แต่ปรากฏว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นผู้อนุญาตให้ฎีกา มิใช่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้ง การอนุญาตให้ฎีกาจึงไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดหลายกรรมต่อเนื่องและการปรับบทลงโทษตามกฎหมายอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(8) กระทงหนึ่ง และมาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 364อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเป็นกรณีที่พิพากษาแก้เพียงว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย และฎีกาของโจทก์ ที่ว่าศาลไม่ควรลดโทษให้จำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ในการลงโทษแก่จำเลยล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกา
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาอันเดียวคือมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 เท่านั้น แต่การที่ผู้เสียหายที่ 3ซึ่งอยู่คนละบ้านกับผู้เสียหายที่ 1 จะเข้ามาช่วยผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรผู้เสียหายที่ 1 จำเลยจึงใช้ไม้รวกตีผู้เสียหายที่ 3 จนแขนหัก เจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง แยกออกจากเจตนาบุกรุกได้ มิใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวคือเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 3จึงมิใช่กรรมเดียว แต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน: เจตนาบุกรุกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แม้เกิดต่อเนื่องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) กระทงหนึ่ง และมาตรา 365 (3) ประกอบมาตรา 364 อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และปรับบทลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทอันเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 โดยมีเจตนาอันเดียวคือ มุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 การที่ผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งอยู่คนละบ้านกับผู้เสียหายที่ 1 ได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 2 บุตรผู้เสียหายที่ 1 ร้องไห้ ผู้เสียหายที่ 3 จะเข้ามาอุ้มผู้เสียหายที่ 2 จำเลยจึงใช้ไม้รวกตีผู้เสียหายที่ 3 จนแขนหัก เจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เพิ่งเกิดขึ้นภายหลัง แยกออกจากเจตนาบุกรุกได้ จึงเป็นการกระทำสองกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 หาใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวเพื่อทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 3 ไม่
of 144