คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 75

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 378 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในคดีจัดการห้างหุ้นส่วน: การโอนทรัพย์สินชำระหนี้เป็นอำนาจจัดการของหุ้นส่วนผู้จัดการ
การที่หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดโอนขายที่ดินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเพื่อชำระหนี้จำนองของห้าง เป็นการจัดกิจการของห้างอย่างหนึ่งซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้
ผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินดังกล่าว เพราะการฟ้องคดีเป็นการจัดกิจการของห้างอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอำนาจของหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไม่มีอำนาจที่จะฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจโดยปริยายและการผูกพันตามสัญญา: สัญญาที่ตัวแทนลงนามผูกพันเจ้าหนี้หรือไม่
ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์ มี ช. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ พ. บุตรของ ช. เป็นหุ้นส่วนและเป็นพนักงานของห้างโจทก์ พ. คิดเงินที่จำเลยซื้อของไปจากห้องโจทก์แล้วค้างชำระ และ พ. กับจำเลยได้ตกลงเรื่องจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันทันที โดยยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ได้ด้วย ซึ่งวันนั้นเอง พ. กับจำเลยได้ทำสัญญายอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้เป็นงวด ๆ พฤติการณ์ดังนี้ส่อแสดงให้เห็นว่า ช. ได้มอบอำนาจให้ พ. กระทำการของห้างโจทก์แทน ช. ได้ในระหว่างที่ ช. ไม่อยู่ ห้างโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญานั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจโดยปริยายและการผูกพันตามสัญญา: กรณีตัวแทนกระทำการเกินขอบเขต
ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์มี ช. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ พ. บุตรของ ช. เป็นหุ้นส่วนและเป็นพนักงานของห้างโจทก์พ. คิดเงินที่จำเลยซื้อของไปจากห้างโจทก์แล้วค้างชำระและ พ. กับจำเลยได้ตกลงเรื่องจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันทันทีโดยยินยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ได้ด้วย ซึ่งวันนั้นเอง พ. กับจำเลยได้ทำสัญญายอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้เป็นงวดๆ พฤติการณ์ดังนี้ส่อแสดงให้เห็นว่า ช. ได้มอบอำนาจให้ พ. กระทำการของห้างโจทก์แทน ช.ได้ในระหว่าง ช. ไม่อยู่ห้างโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญานั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิด: การรับรู้ของตัวแทนกรมทางหลวง และขอบเขตอำนาจมอบหมาย
แม้เจ้าหน้าที่โจทก์จะได้รับแจ้งถึงการที่มีผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ อายุความในเรื่องละเมิดยังไม่เริ่มนับจนกว่าอธิบดีกรมโจทก์ ซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์ได้รู้ถึงการกระทำละเมิดดังกล่าวแล้ว
กรมมอบอำนาจให้ส่วนราชการอื่นแจ้งความกล่าวโทษผู้กระทำละเมิด แต่เมื่อมิได้มอบให้ติดตามเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วย การที่ส่วนราชการผู้รับมอบอำนาจรู้เรื่องการกระทำละเมิด ไม่ถือว่ากรมรู้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิดของหน่วยงานราชการ: เริ่มนับเมื่อผู้มีอำนาจสูงสุดทราบเรื่อง
แม้เจ้าหน้าที่โจทก์จะได้รับแจ้งถึงการที่มีผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ อายุความในเรื่องละเมิดยังไม่เริ่มนับจนกว่าอธิบดีกรมโจทก์ซึ่ง เป็นผู้แทนโจทก์ได้รู้ถึงการกระทำละเมิดดังกล่าวแล้ว
กรมมอบอำนาจให้ส่วนราชการอื่นแจ้งความกล่าวโทษผู้กระทำละเมิด แต่เมื่อมิได้มอบให้ติดตามเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วยการที่ส่วนราชการผู้รับมอบอำนาจรู้ถึงการกระทำละเมิด ไม่ถือว่ากรมรู้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องที่ไม่สมบูรณ์แก้ไขได้ ศาลสั่งรับใบแต่งทนายใหม่หลังสืบพยานได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ทนายความของบริษัทโจทก์เป็นผู้ลงนามเป็นโจทก์ในคำฟ้อง แต่ใบแต่งทนายความลงนามโดยผู้ไม่มีอำนาจตามที่จะทะเบียนไว้ จำเลยยื่นคำให้การคัดค้านอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้แล้ว ครั้นสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนเสร็จ โจทก์ได้ยื่นใบแต่งทนายความฉบับใหม่ลงนามกรรมการ 2 นาย และประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์ถูกต้องตามที่ได้จดทะเบียนไว้ ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจสั่งใบรับใบแต่งทนายความใหม่ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 และเนื่องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดว่าศาลจะมีคำสั่งได้ภายในเมื่อใด ศาลจึงสั่งรับใบแต่งทนายความใหม่ภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วนั้นก็ได้ ทั้งการที่มาตรานี้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสอบสวนถึงอำนาจฟ้องได้ ก็ย่อมเป็นเวลาภายหลังยื่นฟ้องแล้ว เมื่อศาลเห็นว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรืออำนาจฟ้องบกพร่อง แต่ศาลไม่ใช่อำนาจยกฟ้องโดยสั่งให้โจทก์แก้ไขอำนาจฟ้องให้สมบูรณ์หรือยอมรับการแก้ไขอำนาจฟ้องให้สมบูรณ์ ก็ย่อมทำให้อำนาจฟ้องที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นอำนาจฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก เพราะมิฉะนั้นแล้วก็เท่ากับให้ศาลใช้อำนาจยกฟ้องอย่างเดียว ถ้อยคำที่ว่า "หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม" ก็จะไม่มีความหมายอะไรไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขใบแต่งทนายความหลังยื่นฟ้อง ผลต่อการสมบูรณ์ของอำนาจฟ้อง และการใช้ดุลยพินิจของศาลตามมาตรา 66 ว.พ.พ.
ทนายความของบริษัทโจทก์เป็นผู้ลงนามเป็นโจทก์ในคำฟ้องแต่ใบแต่งทนายความลงนามโดยผู้ไม่มีอำนาจตามที่จดทะเบียนไว้ จำเลยยื่นคำให้การคัดค้านอำนาจฟ้องของโจทก์ไว้แล้ว ครั้นสืบพยานโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนเสร็จ โจทก์ได้ยื่นใบแต่งทนายความฉบับใหม่ลงนามกรรมการ 2 นายและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์ถูกต้องตามที่ได้จดทะเบียนไว้ ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลย่อมมีอำนาจสั่งรับใบแต่งทนายความใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 66 และเนื่องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดว่าศาลจะมีคำสั่งได้ภายในเมื่อใด ศาลจึงสั่งรับใบแต่งทนายความใหม่ภายหลังสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วก็ได้ ทั้งการที่มาตรานี้บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสอบสวนถึงอำนาจฟ้องได้ ก็ย่อมเป็นเวลาภายหลังยื่นฟ้องแล้ว เมื่อศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือำนาจฟ้องบกพร่อง แต่ศาลไม่ใช่อำนาจยกฟ้องโดยสั่งให้โจทก์แก้ไขอำนาจฟ้องให้สมบูรณ์หรือยอมรับการแก้ไขอำนาจฟ้องให้สมบูรณ์ ก็ย่อมทำให้อำนาจฟ้องที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นอำนาจฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก เพราะมิฉะนั้นแล้วก็เท่ากับให้ศาลใช้อำนาจยกฟ้องอย่างเดียว ถ้อยคำที่ว่า "หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม"ก็จะไม่มีความหมายอะไรไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สรรพากรจังหวัดละเลยการตรวจตัดปีภาษี ทำให้เกิดการทุจริตและเสียหายต่อรัฐ
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และของ ส.เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและทำให้ ส.ทุจริตยักยอกเงินไปตามจำนวนในฟ้อง การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย แม้ฟ้องโจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 3 ไม่ตรวจแบบรายการเสียภาษีบัญชีงบเดือน เงินผลประโยชน์ของแผ่นดินฉบับใด เดือนใด ปีใด จำนวนเท่าใด ไม่ตรวจตัดปีที่ไหน ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบ ทั้งจำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้คีดได้โดยไม่ผิดหลง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม
เงินที่ ส.เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมาย กรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้ว ส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้อง คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรมได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส.ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเอง เมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลัง กระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วย และได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือน มีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อ ๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบ ส.เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส.รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปลายปี พ.ศ. 2505 ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่ง ๆ ไม่ตรงกัน และเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส.ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ. 2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้ การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 965/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สรรพากรจังหวัดประมาทเลินเล่อไม่ตรวจตัดปีภาษี ทำให้เกิดการทุจริตและเสียหายต่อภาษีอากร
โจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า จำเลยที่ 3 ได้ละเลยไม่ควบคุมตรวจตราในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่2 และของ ส.เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องและทำให้ ส. ทุจริตยักยอกเงินไปตามจำนวนในฟ้องการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหายแม้ฟ้องโจทก์จะไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 3 ไม่ตรวจแบบรายการเสียภาษีบัญชีงบเดือนเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินฉบับใด เดือนใด ปีใด จำนวนเท่าใด ไม่ตรวจตัดปีที่ไหน ก็เป็นแต่เพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบทั้งจำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้คดีได้โดยไม่ผิดหลง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่เคลือบคลุม
เงินที่ ส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอยักยอกไป เป็นเงินภาษีอากรซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บตามกฎหมายกรมสรรพากรเป็นหน่วยราชการขึ้นต่อกระทรวงการคลังโจทก์ เมื่อ ส. ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในบังคับบัญชาของโจทก์จัดเก็บเงินภาษีอากรดังกล่าวมาได้ ย่อมเป็นเงินผลประโยชน์ของแผ่นดินอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับเงินนี้
การมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนั้น ย่อมรวมถึงมอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อไปหลังจากฟ้องคดีแล้วด้วย
กรณีข้าราชการกระทำละเมิดต่อทางราชการนั้น จะถือว่ากรมหรือกระทรวงเจ้าสังกัดรู้การละเมิดและตัวผู้ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่เบื้องต้นในกรมหรือกระทรวงเสนอความเห็นหาได้ไม่ ต้องนับตั้งแต่วันที่อธิบดีหรือรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องราวและความเห็นนั้นแล้วส. เป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรยักยอกทรัพย์ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรเป็นนิติบุคคล มีอำนาจที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลได้ ฉะนั้นถ้ากรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนมาเกินหนึ่งปีแล้วไม่มีการฟ้องร้องคดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 กรมสรรพากรเป็นส่วนราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังมาเป็นโจทก์ฟ้องภายหลังหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าว ก็ต้องถือว่าขาดอายุความเช่นเดียวกัน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2505) อธิบดีกรมสรรพากรกับ อ.ก.พ.กรม ได้ประชุมกัน 3 ครั้ง เพื่อพิจารณาหาตัวผู้จะต้องรับผิดในทางแพ่ง กรณี ส. ยักยอกทรัพย์ ในการประชุมครั้งที่ 3 ที่ประชุมเห็นว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิด แสดงว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้ต้องรับผิดใช้เงินรายนี้ในวันเสร็จสิ้นการประชุมครั้งสุดท้ายนั่นเองเมื่อกรมสรรพากรรายงานมติการประชุมไปยังกระทรวงการคลังกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วสั่งให้จำเลยที่ 3 รับผิดด้วยและได้ฟ้องจำเลยที่ 3 เป็นคดีนี้ภายในหนึ่งปีนับแต่กรมสรรพากรรู้ดังกล่าวฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ยังไม่ขาดอายุความ
กรมสรรพากรได้กำหนดวิธีการตรวจตัดปีไว้ให้ตรวจเป็นรายเดือนมีรายละเอียดวิธีตรวจเป็นข้อๆ และระบุให้สรรพากรจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบส. เสมียนพนักงานแผนกสรรพากรอำเภอได้เริ่มทำการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากรที่ ส. รับชำระไว้ไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2503 จนถึงปลายปีพ.ศ.2505ถ้าจำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งสรรพากรจังหวัดปฏิบัติการตรวจตัดปีตามวิธีการที่กำหนดทุกเดือน ก็จะทราบว่ายอดเงินในแบบรายการเสียภาษีกับยอดเงินที่เก็บได้ในเดือนหนึ่งๆ ไม่ตรงกันและเหตุที่ไม่ตรงกันก็เพราะ ส. ได้กระทำการทุจริต แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการตรวจตัดปีเป็นรายเดือนตามระเบียบ จึงเพิ่งตรวจพบยอดเงินไม่ตรงกันในปลายปี พ.ศ.2505 แม้จำเลยที่ 3 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่อื่นทำการตรวจสอบแทนก็ตาม จำเลยที่ 3 ผู้เป็นสรรพากรจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 และของ ส. ก็ยังคงต้องรับผิดชอบอยู่นั่นเอง เพราะจำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมงาน มีหน้าที่ควบคุมการเก็บหรือรับเงินผลประโยชน์ จะต้องไม่ละเลยการตรวจตราในหน้าที่ตามระเบียบการที่ได้วางไว้การกระทำของจำเลยที่3 จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินภาษีอากรที่โจทก์จะพึงได้รับ ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2463/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสัตยาบันหนังสือมอบอำนาจที่ไม่มีตราบริษัท ศาลรับฟังได้หากมีการยืนยันและส่งมอบเอกสารที่ถูกต้อง
บริษัทโจทก์มอบอำนาจให้ บ. ฟ้องคดีแทน โดย ส.กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ซึ่งมีอำนาจลงชื่อแทนบริษัท เป็นผู้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง ซึ่งไม่ได้ประทับตราบริษัทก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ ส. ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้สัตยาบันในการที่ บ. ฟ้องคดีแทนบริษัทโจทก์ พร้อมทั้งขอส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจอันมีตราของบริษัทประทับถูกต้องมาด้วย โดยชี้แจงประกอบว่าภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องได้เอาฉบับที่ไม่มีตราประทับส่งมาโดยความเข้าใจผิดของ บ. การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในทางแพ่งนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ก็คงให้ถือหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง การที่ ส. กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้สัตยาบันการที่ บ. ฟ้องคดีแทนบริษัทโจทก์พร้อมทั้งขอส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจอันมีตราของบริษัทประทับถูกต้องและชี้แจงประกอบด้วย ย่อมเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันในการมอบอำนาจให้ฟ้องคดี ซึ่งไม่มีบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งห้ามไว้แต่ประการใด เมื่อพิจารณามาตรา 47 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งประกอบด้วยแล้ว ศาลชอบที่จะพึงรับฟังหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวนี้ได้ บ. จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1780/2493)
of 38