พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3075/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม การรับสารภาพ และดุลพินิจศาลในการลดโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติดในเรือนจำ
ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสอบคำให้การได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาดีแล้ว จำเลยจึงได้ให้การรับสารภาพและลงลายมือชื่อไว้โดยโจทก์บรรยายฟ้องโดยชัดเจนในข้อ ก. ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตเป็นจำนวนเท่าใด และมีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่กระทำผิด และในคำฟ้องข้อ ข. บรรยายว่า จำเลยได้นำยาเสพติดให้โทษอันเป็นของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงไม่เคลือบคลุม
สิ่งของต้องห้ามที่จำเลยนำเข้าไปในเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นภัยต่อสังคมโดยรวมและกระทำในขณะต้องขังคดีอื่น แสดงว่าจำเลยไม่มีสำนึกและความรับผิดชอบทั้งไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง การที่จำเลยมีบิดามารดาที่ชราแล้ว มีบุตรที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลล่างที่ไม่ลดโทษและรอการลงโทษจำเลย
สิ่งของต้องห้ามที่จำเลยนำเข้าไปในเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นภัยต่อสังคมโดยรวมและกระทำในขณะต้องขังคดีอื่น แสดงว่าจำเลยไม่มีสำนึกและความรับผิดชอบทั้งไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง การที่จำเลยมีบิดามารดาที่ชราแล้ว มีบุตรที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลล่างที่ไม่ลดโทษและรอการลงโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อเสียงเลือกตั้งส.ว. โดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกระทบต่อระบอบประชาธิปไตยและความมั่นคงของชาติ
จำเลยทั้งสองมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกลับมากระทำความผิดโดยให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายหนึ่ง เป็นการทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างไม่บริสุทธิ์และไม่ยุติธรรมต่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งรายอื่น ทั้งยังเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติอีกด้วย ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้จำเลยทั้งสองนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษคดีพนัน: ศาลฎีกายืนโทษจำคุก เหตุพฤติกรรมร้ายแรงและไม่ปรับปรุงตัว
แม้เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมโพยสลากกินรวบ13 แผ่น กระดาษรายการแทงพนันฟุตบอล 7 แผ่น ซึ่งถือว่าไม่มากก็ตามแต่จำนวนเงินที่แทงพนันเป็นจำนวนมากเป็นแสนบาทขึ้นไปแสดงให้เห็นว่าจำเลยเล่นการพนันเป็นอาชีพ ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งจำเลยมีประวัติในการกระทำผิดเกี่ยวกับการพนันและความผิดอื่นมาแล้ว แสดงว่าจำเลยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย หมกมุ่นอยู่กับอบายมุข ไม่พยายามปรับปรุงตัวหรือแก้นิสัยความประพฤติให้ดีขึ้น การที่ศาลล่างใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1744/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดลิขสิทธิ์และผลิตสื่อลามก: จำเลยมีความผิดฐานทำซ้ำและจำหน่ายงานละเมิดลิขสิทธิ์และสื่ออนาจาร
จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมพร้อมด้วยแผ่นวีดีโอซีดีที่จำเลยร่วมกันทำซ้ำขึ้น โดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายทั้งสามซึ่งจำเลยก็รับสารภาพต่อศาลแล้วร่วมกันมีไว้เพื่อขายซึ่งแผ่นวีดีโอซีดีที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวน 4,300 แผ่น ทั้งยังร่วมกันทำให้แพร่หลายโดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งแผ่นวีดีโอซีดีลามกอีกเป็นจำนวน 1,000 แผ่น เป็นการร่วมกันกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายมีลักษณะเป็นขบวนการโดยกลุ่มบุคคลหลายสัญชาติอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ยิ่งกว่ากรณีปกติธรรมดาทั้งเป็นการกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน เหตุผลที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกว่าจำเลยมีความประพฤติดี และไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าโดยบันดาลโทสะ: การทำร้ายร่างกายภรรยาจากความขัดแย้งเรื่องการเลิกร้างและบุตร
จำเลยใช้ไม้ตีพริกของกลางยาวประมาณ 1 ศอก ตีศีรษะผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้ง และใช้มีดปลายแหลมแทงบริเวณหน้าอกของผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 2 แผล ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จนผู้เสียหายที่ 1 สลบไปและกะโหลกศีรษะข้างขวาส่วนหน้าแตกเป็นทางยาว และรอยประสานของกะโหลกศีรษะข้างขวาส่วนหน้าแตกแยก กับบาดแผลที่ถูกมีดแทง 2 แผล ยาว 1.5 เซนติเมตร กว้าง 0.2 เซนติเมตร ลึกเข้าช่องอก มีลมออกที่ช่องอกทั้งสองข้าง แสดงว่าจำเลยใช้ไม้ตีพริกที่ศีรษะของผู้เสียหายที่ 1 อย่างแรงหลายที และใช้มีดปลายแหลมแทงอย่างแรงเข้าบริเวณหน้าอกของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จนผู้เสียหายที่ 1 สลบไป หากไม่สามารถนำผู้เสียหายที่ 1 ให้แพทย์รักษา ทันท่วงทีผู้เสียหายที่ 1 ย่อมถึงแก่ความตายได้ การที่จำเลยใช้อาวุธของกลางดังกล่าวทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 จำเลยย่อมเล็งผลว่าผู้เสียหายที่ 1 อาจถึงแก่ความตายได้ แต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
สาเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยพูดจาโต้เถียงกันเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายที่ 1 คิดจะเลิกอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยและไปแต่งงานใหม่ ผู้เสียหายที่ 1 จึงบอกแก่จำเลยว่าจะพาบุตรชายที่เกิดกับจำเลยไปให้มารดาผู้เสียหายที่ 1 เลี้ยงดู แต่จำเลยไม่ยินยอมและตกลงกันไม่ได้ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยก็มีปากเสียงกันมาก่อนแล้ว เมื่อจำเลยกลับมาที่ห้องเกิดเหตุก่อนและผู้เสียหายที่ 1 กลับมาทีหลัง โดยดื่มสุรามึนเมา ก็ยังมามีปากเสียงกันอีก จำเลยโมโหและได้ใช้ไม้ตีพริกและมีดปลายแหลมเข้าทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นสามีของผู้เสียหายที่ 1 มา 4 ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน 1 คน เป็นชาย ก่อนเกิดเหตุมีชายอื่นมาติดพันผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 จะเลิกร้างกับจำเลยและไปอยู่กินกับชายคนใหม่และจะพาบุตรไปจากจำเลย จำเลยพูดขอร้องไม่ให้พาบุตรไป แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็ไม่ยินยอมและพูดยืนยันทำนองว่าจะพาบุตรไปจากจำเลยให้ได้ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มึนเมาสุรา ทำให้จำเลยเกิดความโมโห การกระทำของผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าว เป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยได้ใช้ไม้ตีพริกตีและมีดแทงผู้เสียหายที่ 1 ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
แม้ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจะยุติไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์เพราะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรก็มีอำนาจรอการ ลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
สาเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยพูดจาโต้เถียงกันเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายที่ 1 คิดจะเลิกอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยและไปแต่งงานใหม่ ผู้เสียหายที่ 1 จึงบอกแก่จำเลยว่าจะพาบุตรชายที่เกิดกับจำเลยไปให้มารดาผู้เสียหายที่ 1 เลี้ยงดู แต่จำเลยไม่ยินยอมและตกลงกันไม่ได้ ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 กับจำเลยก็มีปากเสียงกันมาก่อนแล้ว เมื่อจำเลยกลับมาที่ห้องเกิดเหตุก่อนและผู้เสียหายที่ 1 กลับมาทีหลัง โดยดื่มสุรามึนเมา ก็ยังมามีปากเสียงกันอีก จำเลยโมโหและได้ใช้ไม้ตีพริกและมีดปลายแหลมเข้าทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ตามพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นสามีของผู้เสียหายที่ 1 มา 4 ปีเศษ มีบุตรด้วยกัน 1 คน เป็นชาย ก่อนเกิดเหตุมีชายอื่นมาติดพันผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 จะเลิกร้างกับจำเลยและไปอยู่กินกับชายคนใหม่และจะพาบุตรไปจากจำเลย จำเลยพูดขอร้องไม่ให้พาบุตรไป แต่ผู้เสียหายที่ 1 ก็ไม่ยินยอมและพูดยืนยันทำนองว่าจะพาบุตรไปจากจำเลยให้ได้ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 มึนเมาสุรา ทำให้จำเลยเกิดความโมโห การกระทำของผู้เสียหายที่ 1 ดังกล่าว เป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยได้ใช้ไม้ตีพริกตีและมีดแทงผู้เสียหายที่ 1 ในขณะนั้นจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
แม้ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสจะยุติไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์เพราะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ากรณีมีเหตุสมควรก็มีอำนาจรอการ ลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1440/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมลักลอบนำเข้าและขายน้ำมันเถื่อน ศาลฎีกายืนโทษเดิม
จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดฐานร่วมกันขนถ่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 37 ตรี หลังจากที่จำเลยลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาในเขตต่อเนื่องแล้ว ซึ่งไม่แน่ชัดว่าจำเลยทั้งห้าขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีหรือเจตนาอื่น จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดโดยเจตนาต่างหากจากความผิดฐานอื่นเมื่อจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการกระทำความผิดของจำเลยทั้งห้าในความผิดฐานนี้เป็นความผิดกรรมเดียว ส่วนความผิดฐานร่วมกันนำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่ได้เสียภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิตเข้ามาในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ มาตรา 27 กับความผิดฐานร่วมกันขายหรือมีไว้เพื่อขาย ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่มิได้เสียภาษีสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติสรรพสามิตฯ มาตรา 162(1) เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต่างพระราชบัญญัติกัน โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลแตกต่างกัน สามารถแยกการกระทำแต่ละความผิดได้จึงเป็นความผิดหลายกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งห้าทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามที่โจทก์ฟ้องให้จำคุกสถานเดียวเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้รอการลงโทษแต่กำหนดโทษปรับอีกสถานหนึ่ง ก็ยังทำให้จำเลยทั้งห้าไม่ต้องรับโทษจำคุกเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษเบากว่าศาลชั้นต้น กรณีไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย
จำเลยทั้งห้ามีอาชีพรับจ้าง การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นการกระทำตามคำสั่งของนายจ้างเพื่อหาเลี้ยงชีพ เมื่อจำเลยทั้งห้าไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนประกอบกับมีภาระที่จะต้องเลี้ยงดูครอบครัว เห็นควรให้โอกาสจำเลยทั้งห้ากลับตนเป็นพลเมืองดีจึงเห็นพ้องกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้รอการลงโทษจำคุก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งห้าทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามที่โจทก์ฟ้องให้จำคุกสถานเดียวเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาให้รอการลงโทษแต่กำหนดโทษปรับอีกสถานหนึ่ง ก็ยังทำให้จำเลยทั้งห้าไม่ต้องรับโทษจำคุกเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ลงโทษเบากว่าศาลชั้นต้น กรณีไม่ใช่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย
จำเลยทั้งห้ามีอาชีพรับจ้าง การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นการกระทำตามคำสั่งของนายจ้างเพื่อหาเลี้ยงชีพ เมื่อจำเลยทั้งห้าไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนประกอบกับมีภาระที่จะต้องเลี้ยงดูครอบครัว เห็นควรให้โอกาสจำเลยทั้งห้ากลับตนเป็นพลเมืองดีจึงเห็นพ้องกับที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้รอการลงโทษจำคุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1286/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงตัวเป็นนายประกันปลอมเพื่อหลอกลวงศาล เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยและก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม
การที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงตัวเป็น อ. นายประกันของจำเลยและลงลายมือชื่อในคำร้องขอประกันตัวต่อซึ่งเป็นลายมือชื่อปลอมเป็นการหลอกลวงศาลว่ามีการประกันตัวต่อโดยชอบ ถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) และมาตรา 33พฤติการณ์ดังกล่าวมีลักษณะร้ายแรงเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรมอันเป็นช่องทางให้จำเลยหลบหนีได้ หากศาลตรวจไม่พบการกระทำผิดของผู้ถูกกล่าวหาเสียก่อน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจึงก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการศาลเป็นอย่างมาก แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะรับราชการครูและยังมีหน้าที่ต้องอุปการะผู้อื่น ก็ยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำคุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวหรือหลายกรรม? ปลอมเอกสารราชการต่างประเภท เจตนาต่างกัน ถือเป็นความผิดคนละกรรม
แผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์และใบอนุญาตขับรถยนต์เป็นเอกสารคนละประเภทกัน การใช้และอ้างซึ่งเอกสารดังกล่าวต่างมีเจตนาก่อให้เกิดผลที่แตกต่างกันกล่าวคือ การใช้หรืออ้างแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์ปลอมนั้นเพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่ารถยนต์คันที่จำเลยขับเสียภาษีถูกต้อง ส่วนการใช้หรืออ้างใบอนุญาตขับรถยนต์ปลอมก็เพื่อให้เจ้าพนักงานเห็นว่าจำเลยมีความสามารถขับรถยนต์ได้ซึ่งทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้แก่จำเลยแล้ว แม้จำเลยใช้เอกสารดังกล่าวพร้อมกันในวันเดียวกันก็ตามการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดคนละกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
การที่จำเลยปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์แล้วนำไปติดไว้ที่รถยนต์คันเกิดเหตุนั้น เป็นการกระทำที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือในการที่จะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและยังเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีรถยนต์ให้แก่รัฐ นอกจากนี้จำเลยยังปลอมใบอนุญาตขับรถยนต์ของจำเลยหลังจากจำเลยขับรถไปเฉี่ยวชนรถยนต์ของผู้อื่นแล้วหลบหนีเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจเห็นว่าจำเลยเป็นบุคคลอื่น และจำเลยมีความสามารถขับรถยนต์ได้ซึ่งทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้ นับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย และส่อแสดงถึงพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตของจำเลยที่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าร้ายแรง สมควรลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ
การที่จำเลยปลอมแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีรถยนต์แล้วนำไปติดไว้ที่รถยนต์คันเกิดเหตุนั้น เป็นการกระทำที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือในการที่จะใช้เอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานและยังเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีรถยนต์ให้แก่รัฐ นอกจากนี้จำเลยยังปลอมใบอนุญาตขับรถยนต์ของจำเลยหลังจากจำเลยขับรถไปเฉี่ยวชนรถยนต์ของผู้อื่นแล้วหลบหนีเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจเห็นว่าจำเลยเป็นบุคคลอื่น และจำเลยมีความสามารถขับรถยนต์ได้ซึ่งทางราชการได้ออกใบอนุญาตให้ นับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย และส่อแสดงถึงพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตของจำเลยที่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าร้ายแรง สมควรลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีอาญา: ผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมและความร้ายแรงของโทษ
จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีอาญา การกระทำของจำเลยดังกล่าวอาจทำให้ผู้กระทำความผิดในคดีอาญาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ นับเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายและทำให้เกิดความเสียหายแก่กระบวนการยุติธรรมของรัฐเป็นอย่างยิ่ง พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง เพื่อให้จำเลยเข็ดหลาบและมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลที่คิดจะกระทำการเช่นจำเลยสมควรลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำไม้แปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลลดโทษและรอการลงโทษเนื่องจากพฤติการณ์ไม่ร้ายแรง
แม้จำเลยทั้งสามใช้เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำไม้และแปรรูปไม้ แต่ปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติว่า ไม้ยางที่จำเลยทั้งสามร่วมกันแปรรูปนั้นอยู่ในเขตที่ดินของนาย ส. ญาติจำเลยที่ 1 มิได้ขึ้นอยู่ในป่า ทั้งนาย ส. ก็อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ตัดไม้ได้ เพียงแต่จำเลยที่ 1 มิได้ดำเนินการขออนุญาตทำไม้และแปรรูปไม้ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรงนัก และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยทั้งสามกลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป โดยให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ ตาม ป.อ. มาตรา 56 แต่เพื่อให้จำเลยทั้งสามหลาบจำไม่หวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีก เห็นสมควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ฯ มาตรา 69 ด้วย ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นกรณีการมีไม้ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง จึงเป็นการปรับบทไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ ฯ มาตรา 69 ด้วย ซึ่งความผิดดังกล่าวเป็นกรณีการมีไม้ยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง จึงเป็นการปรับบทไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้