คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 56

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7-8/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสับเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ละเมิดอำนาจศาล แม้กระทำก่อนฟ้อง
แม้การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาจะกระทำตั้งแต่ในชั้นสอบสวน ก่อนดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เข้าใจดีอยู่แล้วว่า ในที่สุดก็จะต้องมีการดำเนินคดีในศาลเป็นการต่อเนื่องกันไป การเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยมิชอบย่อมเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษ ทำให้กระบวนพิจารณาในศาลไม่อาจดำเนินไปโดยเที่ยงธรรมได้ ต้องถือว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งแม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1จะมิใช่คู่ความ แต่การกระทำที่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) มีอยู่ด้วยกัน 2 ประการได้แก่การขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตรา 30 อันว่าด้วยการรักษาความสงบเรียบร้อยประการหนึ่ง กับการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอีกประการหนึ่ง เฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้นที่จะต้องเป็นคู่ความหรือบุคคลภายนอกที่อยู่ต่อหน้าศาลดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ส่วนการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลนั้นหาได้มีข้อจำกัดดังที่ถูกกล่าวหาที่ 1 กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 ได้
การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษและศาลไม่อาจพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปโดยเที่ยงธรรม ทั้งเป็นการชักจูงให้เยาวชนกระทำผิดเพื่อผลประโยชน์ของผู้กล่าวหาที่ 1 เอง โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดแก่อนาคตของเยาวชน มิใช่เป็นการกระทำเพราะความโง่เขลาเบาปัญญาและถูกผู้อื่นชักจูงให้หลงเชื่อ จึงไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9604/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษ และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการแก้ไข
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้รอการลงโทษ หากโจทก์ไม่พอใจก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมยังไม่ถึงที่สุดและศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกได้ แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นอ่าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จะล่วงเลยระยะเวลารอการลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติครบถ้วนแล้วก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7111/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจำคุกและการรอการลงโทษ: กรณีโทษจำคุกเกินเกณฑ์
ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษที่ลงหลังจากลดโทษแล้ว จำคุก 2 ปี 3 เดือนกรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7111/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กรณีโทษจำคุกเกินสองปี
ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษที่ลงหลังจากลดโทษแล้ว จำคุก 2 ปี 3 เดือนกรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7093/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมเพื่อประกันตัว ถือเป็นการหลอกลวงศาลและเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรม
ผู้ถูกกล่าวหานำที่ดินมาเป็นหลักประกันในการขอประกันตัวจำเลย พร้อมทั้งแสดงหนังสือรับรองราคาประเมินของสำนักงานที่ดินอันเป็นเอกสารปลอมเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยยื่นคำร้องขอใบประเมินราคาที่สำนักงานที่ดินมาแล้วครั้งหนึ่งต่อมามีผู้ชักชวนให้ผู้ถูกกล่าวหานำที่ดินแปลงดังกล่าวมาประกันตัวจำเลยในคดีนี้อีก โดยบอกว่ารู้จักเจ้าพนักงานที่ดินสามารถทำให้ราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นได้โดยเสียค่าธรรมเนียม 1,500 บาท ย่อมแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า ผู้ถูกล่าวหาทราบดีอยู่แล้วว่าหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินฉบับนี้ไม่ถูกต้อง เพราะราคาประเมินที่ดินสูงเกินความเป็นจริง การที่ผู้ถูกกล่าวหานำหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินฉบับที่ไม่ถูกต้องมาใช้ยื่นขอประกันตัวจำเลยต่อศาลย่อมเป็นการหลอกลวงศาลให้ลงเชื่อถึงความถูกต้องของหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงมีลักษณะร้ายแรง นับว่าเป็นภัยต่อกระบวนการยุติธรรมอันเป็นช่องทางให้จำเลยที่ได้รับการประกันตัวไปอาจหลบหนี้ได้ อีกทั้งเมื่อนายประกันผิดสัญญาประกันต่อศาล การบังคับคดีกับที่ดินแปลงที่เอาประกันอาจได้เงินไม่เพียงพอที่จะชำระตามสัญญาประกันอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการศาลได้แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรและมารดาที่แก่ชราก็ตาม ก็ไม่มีเหตุสมควรที่จะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษให้ผู้ถูกกล่าวหา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6988/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะจากการข่มเหง: ภริยาฆ่าสามีที่นอกใจและจะแต่งงานใหม่ ศาลยืนตามคำพิพากษา
จำเลยเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่ผู้ตายคงประพฤติตนเป็นคนเจ้าชู้ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นอีกหลายคน และกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับ ท. ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับผู้ตาย โดยจะออกบัตรเชิญแขกไปร่วมพิธีแต่งงานด้วย โรงงานที่ผู้ตายและ ท. ทำงานอยู่ห่างจากที่พักของจำเลยประมาณ 500 เมตร คนงานในโรงงานย่อมทราบดีว่าจำเลยเป็นภริยาของผู้ตายการกระทำดังกล่าวของผู้ตายย่อมทำให้จำเลยได้รับความอับอายมาก ก่อนเกิดเหตุผู้ตายไม่กลับบ้านหลายวันเพราะไปพักอยู่กับ ท. จำเลยตามผู้ตายให้กลับบ้านผู้ตายยอมกลับบ้าน แต่เมื่อจำเลยขอร้องผู้ตายว่าผู้ตายจะมีความสัมพันธ์กับ ท. ต่อไป จำเลยไม่ว่า แต่ขอร้องไม่ให้ผู้ตายแต่งงานกับ ท. ผู้ตายปฏิเสธการกระทำดังกล่าวของผู้ตายจึงเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อจำเลยซึ่งเป็นภริยา การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันทีเพียง 1 นัด จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต่อผู้ตายซึ่งเป็นผู้ข่มเหงจำเลยในขณะที่ถูกข่มเหงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
จำเลยเคยพูดขู่จะฆ่าผู้ตายมาแล้วหลายครั้ง ในวันเกิดเหตุจำเลยก็พูดกับ ท. และ ว. ว่าจะฆ่าผู้ตาย เมื่อจำเลยและผู้ตายกลับถึงห้องพักจำเลยก็เป็นฝ่ายด่าผู้ตายอยู่ข้างเดียวจึงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6916/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงลดหนี้กับการถอนฟ้อง, การยักยอกเงินค่าเบี้ยประกัน, และการกำหนดโทษ
จำเลยได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพนักงานสอบสวน ณ สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาให้ทราบและควบคุมตัวดำเนินคดีสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆจึงเป็นสถานที่ที่จำเลยถูกจับ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆจึงมีอำนาจทำการสอบสวนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสอง พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้อง โจทก์ร่วมและจำเลยแถลงในรายงานกระบวนพิจารณาว่า โจทก์ร่วมยังติดใจหนี้อีกเพียง 381,699 บาท และจะถอนคำร้องทุกข์ต่อเมื่อจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมแล้วไม่มีข้อความว่าโจทก์ร่วมตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีต่อจำเลยในทันที การที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์ร่วมจนครบจึงถือเป็นเงื่อนไขในการถอนคำร้องทุกข์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ร่วมจึงไม่ถูกผูกพันที่ต้องถอนคำร้องทุกข์และถือไม่ได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เมื่อโจทก์ได้แสดงเจตนาสละสิทธิเรียกร้องในหนี้บางส่วน โดยยังติดใจในหนี้อีกเพียง 381,699 บาท การแสดงเจตนาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพัน เมื่อจำเลยนำเงินมาชำระแก่โจทก์ร่วมเพียง 30,000 บาทจึงเหลือเงินจำนวน 351,699 บาท ที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยฎีกาว่า จำเลยทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีเหตุอันจำเป็นบังคับ จำเลยใช้เงินคืนโจทก์ร่วมบางส่วนแล้ว การรับสารภาพเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่จำเลยจะใช้เงินแก่โจทก์แสดงว่าจำเลยไม่เคยรู้สึกสำนึกผิด ทั้งจำเลยได้ยักยอกเงินค่าเบี้ยประกันที่ผู้เอาประกันชำระให้แก่โจทก์ร่วมมีจำนวน 84 ราย เป็นเงินจำนวน 763,399 บาท โทษจำคุก6 เดือน จึงเหมาะสมและไม่มีเหตุรอการลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6666/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำให้เสียทรัพย์จากการเผารั้ว: พิจารณาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ม.358 และการรอการลงโทษ
การที่จำเลยดึงรั้วไม้ไผ่ผ่าซีกที่ยึดติดเป็นแผงซึ่งเป็นรั้วบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 แล้วนำไปเผาทำลายนั้น เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 358 เพียงบทเดียวมิใช่กระทำผิดหลายบท เพราะจำเลยมีเจตนาจะทำลายรั้วไม้ไผ่ที่ปักติดเป็นแผงโดยนำไปเผาให้ใช้การได้เท่านั้น การเผาแผงไม้ไผ่นั้นเป็นการทำลายทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่ 1 ให้เสียหาย มิใช่วางเพลิงเผาทรัพย์รั้วบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 เนื่องจากจำเลยมิได้วางเพลิงเผาแผงไม้ไผ่ในขณะที่มีสภาพเป็นรั้วบ้านกั้นขอบเขตเป็นที่อยู่อาศัย ของโจทก์ร่วมที่ 1 อันจะต้องด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 ราคาทรัพย์ที่เสียหายมีเพียง 1,000 บาท และเป็นความผิดทางอาญาไม่ร้ายแรง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษอาญามาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลย โดยรอการลงโทษจำคุกเพื่อให้กลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป ดีกว่าจะพิพากษาลงโทษจำคุกซึ่งอาจไม่เป็นผลดีหรือไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการแก้ไขความประพฤติของจำเลย แต่เพื่อให้หลาบจำ ให้ปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5637/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการบริษัททราบฐานะการเงินออกเช็คแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่าย ถือเป็นตัวการร่วมความผิด พ.ร.บ.เช็ค
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาทโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 มอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า จำเลยที่ 2 มิใช่เป็นผู้ลงลายมือชื่อในเช็คพิพาท แต่เมื่อเช็คพิพาทเป็นของบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันบริษัทจำเลยที่ 1 และมีอำนาจลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ ย่อมต้องทราบฐานะการเงินของบริษัทจำเลยที่ 1 ว่ามีเงินพอ ที่จะจ่ายตามเช็คได้หรือไม่ ดังนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในเช็คพิพาทและส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องด้วยแล้ว เพราะความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ไม่ได้จำกัดเฉพาะว่าผู้กระทำความผิดคือผู้ออกเช็คเท่านั้นบุคคลอื่นก็อาจร่วมกระทำเป็นตัวการด้วยได้ ตามพฤติการณ์แห่งคดี การกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ไม่ร้ายแรงนัก ทั้งจำเลยที่ 2ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วบางส่วน ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้พยายามบรรเทาผลร้ายแล้วประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรให้ความปรานีรอการลงโทษแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 2 ได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5449/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองกระสุนปืนที่ไม่อนุญาต การรับสารภาพมีผลบังคับตามกฎหมาย
กระสุนปืนชนิดใดจะเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้หรือไม่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งศาลไม่อาจทราบได้เอง ดังนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีกระสุนปืนเล็กกลของกลางขนาด .223(5.56 มม.) จำนวน 340 นัด กับกระสุนปืนขนาด 7.62 มม.(รัสเซี่ยน) จำนวน 200 นัด อันเป็นเครื่องกระสุนปืนที่ใช้ ยิงได้และนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย และจำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียน ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลไม่อาจฟังข้อเท็จจริงให้แตกต่างออกไปได้ว่า กระสุนปืนเล็กกลขนาด .223(5.56 มม.) กับกระสุนปืนขนาด 7.62 มม.(รัสเซี่ยน) ของกลางเป็นเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนสามารถจะออกใบอนุญาตให้ได้ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 11(พ.ศ. 2522) ออกตามความใน มาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามฟ้องว่าจำเลยมีเครื่อง กระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย การที่จำเลยฎีกาว่า กระสุนของกลางจำเลยได้มาจากการตรวจยึดจากกองกำลังต่างชาติ และอยู่ระหว่างส่งมอบแก่ทางราชการ จำเลยครอบครองกระสุนดังกล่าวในฐานะเจ้าหน้าที่ ของรัฐจึงไม่ต้องรับอนุญาตนั้น จึงขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย และเป็นข้อที่ ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยมีกระสุนปืนของกลางไว้ในความครอบครองจำนวนมาก และเป็นกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ การกระทำผิดของจำเลยมีลักษณะร้ายแรง เป็นภัยต่อความสงบสุขของประชาชนโดยส่วนรวม ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษแก่จำเลย
of 64