คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 56

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์ร่วมกันโดยวางแผนและใช้ความได้เปรียบจากสถานการณ์ที่มีคนพลุกพล่าน
จำเลยกับชายชาวต่างประเทศอีก 1 คน เดินมาด้วยกันชายชาวต่างประเทศเข้ามายืนคุยกับผู้เสียหายซึ่งอยู่ในร้านเพียงคนเดียวและหันหลังให้ทางเข้าร้าน ขณะที่ยืนคุยนั้นผู้เสียหายไม่เห็นจำเลยโดยมีการเบนความสนใจของผู้เสียหายจากสิ่งอื่น ๆ ให้มาอยู่กับชาวต่างประเทศโดยใช้ภาษาต่างประเทศที่ผู้เสียหายไม่เข้าใจ แล้วจำเลยแอบเข้าไปในร้านของผู้เสียหายลักทรัพย์กระเป๋าหนังของกลางน่าเชื่อว่าจำเลยกับชายชาวต่างประเทศดังกล่าววางแผนสมคบกัน ในการลักทรัพย์ของผู้เสียหาย กระเป๋าหนังของกลางที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักไปมีราคาสูง พฤติการณ์การกระทำของจำเลยมีการวางแผนการ แบ่งหน้าที่ กันทำและเป็นการลักทรัพย์ในงานแสดงสินค้าที่มีคนพลุกพล่าน อันเป็นภัยแก่สาธารณชนทั่วไป สมควรลงโทษเพื่อยับยั้ง มิให้เกิดการกระทำความผิดอย่างเดียวกันขึ้นมาอีกโดยไม่รอการลงโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกทำร้ายร่างกายในบ้านพักอาศัย ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นกรรมเดียวและแก้ไขโทษ
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปทำร้าย อ. ผู้เสียหายที่ 2ถึงในบ้านซึ่งเป็นที่พักอาศัยของ น. ผู้เสียหายที่ 1และผู้เสียหายที่ 2 ในเวลากลางคืน นับว่าเป็นการกระทำผิดอย่างอุกอาจ ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ทั้งจำเลยยังเลือกทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 ที่ใบหน้าอันเป็นอวัยวะสำคัญการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษ การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองแล้ว ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสองเพราะมีเจตนา จะกระทำการอย่างอื่น จึงต้องถือว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของ ผู้เสียหายโดยมีเจตนาอันแท้จริงเพื่อทำร้ายร่างกาย ผู้เสียหายที่ 2 เท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แม้ปัญหา ดังกล่าวจะไม่มีคู่ความใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง,215 และ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1041/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จเกี่ยวกับข้อหาค้าของผิดกฎหมาย แม้สถานที่ไม่มีชื่อ แต่ผู้ครอบครองต้องรับผิดชอบ ศาลให้รอลงโทษปรับ
โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของสถานที่ที่จำเลยแจ้ง โจทก์ที่ 2เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจทำการแทนโจทก์ที่ 1แม้จำเลยจะแจ้งถึงสถานที่ไม่ได้ระบุถึงโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 แต่สถานที่ไม่มีสถานะเป็นบุคคลแม้จะมีบุคคลอื่นอยู่ในสถานที่ นั้นอีกหลายคน แต่หากมีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนอยู่จริงโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองสถานที่จะต้องรับผิดชอบ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 จึงเป็นผู้เสียหายฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 และไม่ถือว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงในฟ้อง จำเลยประกอบอาชีพเป็นทนายความเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายเสียเองแล้วไม่สำนึกผิด กลับต่อสู้คดีวกวนกล่าวโทษผู้อื่น จึงไม่สมควรกำหนดโทษ ให้เบาลงอีก แต่จำเลยกระทำไปก็โดยมุ่งหมายให้สำเร็จประโยชน์ ในงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษ จำคุกมาก่อน ประกอบกับจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เป็นที่พอใจแล้วและไม่ติดใจ เอาความกับจำเลย สมควรรอการลงโทษจำคุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้ใบเลื่อยเป็นอาวุธทำร้ายร่างกาย แม้ถูกผลักล้ม
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเพียงแต่ใช้มือผลักอกจำเลยจนล้มลง โดยผู้เสียหายไม่มีอาวุธใด ๆ ส่วนจำเลยแม้จะเป็นคนพิการ แขนขาด้านซ้ายอ่อนแรง กล้ามเนื้อลีบ เดินกะเผลก แต่กลับใช้มือขวาซึ่งสมบูรณ์แข็งแรงถือใบเลื่อยที่ดัดแปลง เป็นมีดปลายแหลมยาวรวมทั้งตัวใบมีดและส่วนที่เป็นด้าม ประมาณ 6 นิ้ว เป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย หลายครั้งจนได้รับอันตรายสาหัส ทั้งที่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะทำร้ายจำเลยมากไปกว่าการผลักอกถือได้ว่าจำเลยกระทำไปเกินสมควรกว่าเหตุและเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้อง กระทำเพื่อป้องกัน อาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายผู้เสียหายเป็นใบเลื่อยที่ดัดแปลงเป็นมีดปลายแหลม ส่วนที่เป็นใบมีดยาวเกินกว่า 3 นิ้วหากแทงถูกอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงไม่สมควรรอการลงโทษให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษคดีรับของโจรโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ภายในครอบครัว อายุ และประวัติของผู้ต้องหา เพื่อรอการลงโทษ
จำเลยทำผิดฐานรับของโจร เมื่อปรากฏตามคำแถลงของผู้เสียหายว่า จำเลยเป็นญาติกับผู้เสียหาย แสดงว่าเป็นเรื่องภายในเครือญาติกัน พฤติการณ์แห่งคดีจึงมิใช่เรื่องร้ายแรงและผู้เสียหายแถลงว่าได้รับทรัพย์ของกลางคืนแล้ว จึงไม่ติดใจเอาความแก่จำเลย อีกทั้งจำเลยเป็นหญิงอายุมากถึง 59 ปีแล้วและไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปรานี สมควรกำหนดโทษและรอการลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำเลยในคดีครอบครองป่าสงวนและหลีกเลี่ยงอากร ศาลยืนตามโทษเดิมเนื่องจากความร้ายแรงของคดี
ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิกำหนดโทษปรับแก่ผู้กระทำผิดเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่ง ได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว เมื่อฟ้องโจทก์ระบุว่าเครื่องเลื่อยยนต์ของกลางมีราคา 5,000 บาท เมื่อรวมกับค่าอากรขาเข้าจำนวน 1,500 บาทแล้ว เป็นเงิน 6,500 บาท ดังนั้น โทษปรับก่อนลดจึงเป็นเงิน 26,000 บาท จำเลยยึดถือครอบครองแผ้วถางป่าสงวนแห่งชาติเป็นเนื้อที่ 23 ไร่เศษ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเป็นเงินถึง 3,540,000 บาท และใช้เครื่องเลื่อยยนต์ในการกระทำ ความผิด พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าร้ายแรง ทั้งการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากส่งผลเสียหายแก่ป่าไม้ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของ ประเทศชาติแล้ว ยังเป็นการทำลายแหล่งต้นน้ำลำธาร ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพสมควรที่จะปราบปรามอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องปรามมิให้ผู้อื่นกระทำความผิดเช่นนี้อีกการไม่รอ การลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้นจึงเป็นการลงโทษที่เหมาะสม แก่ความผิดของจำเลยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงโทษจำคุกสำหรับผู้กระทำผิดฐานเสพยาเสพติดแล้วขับรถ โดยคำนึงถึงประเภทรถและตำแหน่งหน้าที่
แม้การเสพเมทแอมเฟตามีนแล้วปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้โดยง่าย แต่รถยนต์ที่จำเลยขับ ขณะถูกจับกุมเป็นเพียงรถยนต์กระบะส่วนบุคคล มิใช่รถยนต์ บรรทุกขนาดใหญ่หรือรถยนต์โดยสาร ประกอบกับจำเลย มีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลเห็นควรให้โอกาสจำเลยทำงานเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรในท้องถิ่นของตนต่อไป โดยรอการลงโทษจำคุกและกำหนดเงื่อนไข เพื่อคุมความประพฤติจำเลยไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีปล้นทรัพย์โดยใช้มีดข่มขู่ ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลล่างที่ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุก 6 ปี และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ 2 ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางมีกำหนด 2 ปี ขั้นสูง 3 ปีนับแต่วันพิพากษา ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534มาตรา 104(2) คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่เกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา 121 เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า มิได้กระทำความผิดโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาจึงไม่ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าว ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจในการลงโทษตามที่จำเลยฎีกาแม้จะต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อเป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับปัญหาที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่เหมาะสมแก่สภาพแห่งความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจลงโทษเด็กและเยาวชน และการอนุญาตฎีกาในคดีที่เกี่ยวข้อง
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยจำคุก 6 ปี และให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยที่ 2 ไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางมีกำหนด 2 ปี ขั้นสูง 3 ปี นับแต่วันพิพากษา ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534มาตรา 104 (2) คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่เกี่ยวกับการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนตามมาตรา 121 เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า มิได้กระทำความผิดโดยผู้พิพากษาหัวหน้าศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าว เห็นว่า เนื่องจากคดีนี้จำเลยที่ 2 ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจในการลงโทษตามที่จำเลยฎีกา เมื่อเป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับปัญหาที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้จำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่เหมาะสมแก่สภาพแห่งความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รอการลงโทษคดียาเสพติดประเภท 2: พิจารณาจากปริมาณการครอบครอง, ประวัติผู้ต้องหา, และประโยชน์ต่อสังคม
จำเลยมีฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2ไว้ในครอบครองเพื่อเสพเป็นยารักษาโรค เพียงแต่มิได้ เสพตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือผู้ประกอบ โรคศิลปะแผนปัจจุบันชั้นหนึ่งในสาขาทันตกรรมที่ได้รับอนุญาต แล้วเท่านั้น ทั้งฝิ่นที่ใช้ผสมน้ำก็มีจำนวนเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ ใช้ฝิ่นเพียง 8.8 กรัม ผสมน้ำถึง 3 ขวด และเป็นเพียงยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 จำเลยไม่เคย ต้องโทษจำคุกมาก่อน และมีอาชีพมั่นคง การลงโทษจำคุกจำเลย ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่สังคม การรอการลงโทษ ให้แก่จำเลยโดยกำหนดวิธีการคุมประพฤติน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากกว่า ความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 2ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 91มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงหนึ่งแสนบาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย ในความผิดฐานดังกล่าวโดยให้จำคุก 4 เดือน นั้น แม้ว่า จะต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนด แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
of 64