พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1895/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจากการทะเลาะวิวาท: เหตุรอการลงโทษ
จำเลยทั้งสองได้ ร่วมกันชกต่อยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมิได้ใช้ อาวุธอื่นใด การชกต่อยเป็นลักษณะการกระทำผิดที่ไม่รุนแรง ทั้งผู้เสียหายได้ ยื่นคำร้องว่าเกิดจากการทะเลาะวิวาทกันและ ได้ รับชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่พอใจแล้ว ควรรอการลงโทษจำเลย ทั้งสองไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการประเมินอันตรายสาหัส: ศาลมีอำนาจกำหนดโทษและรอการลงโทษได้
วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลยเพื่อปรับความเข้าใจกับจำเลยเรื่องที่ผู้เสียหายถูกหาว่าเป็นชู้กับภรรยาจำเลย ประมาณ10 นาทีก็กลับไป วันเดียวกันผู้เสียหายเมาสุรากลับมาที่บ้านจำเลยเคาะประตูเรียกภรรยาจำเลยอ้างว่าลืมหมูไว้ จำเลยเปิดประตูออกมาบอกว่าหมูไม่มีและไม่ยอมให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้านผู้เสียหายได้ชกเตะต่อยจำเลยแล้วเกิดต่อสู้กัน ผู้เสียหายใช้ขวดสุราตีและถีบจำเลยล้มลง จำเลยวิ่งเข้าไปเอามีดในครัวมาแทงผู้เสียหายเห็นได้ว่าขณะที่จำเลยใช้มีดแทง ผู้เสียหายมิได้ก่อภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง เท่ากับอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษและคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษไปในตัว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามที่เห็นสมควรได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบด้วยมาตรา 215 กรณีจะเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)หรือไม่ต้องพิจารณาจากผลของการทำร้ายว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่มิใช่ต้องพิจารณาเฉพาะจากบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นชัด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเจ็บที่ท้องจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายสาหัสแล้ว คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลฎีกาก็พิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวต้องสมเหตุสมผล ผู้ถูกทำร้ายมิได้ก่อภัย การใช้มีดแทงจึงไม่เป็นการป้องกันตนเอง
วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลยเพื่อปรับความเข้าใจกับจำเลยเรื่องที่ผู้เสียหายถูกหาว่าเป็นชู้กับภรรยาจำเลย ประมาณ10 นาทีก็กลับไป วันเดียวกันผู้เสียหายเมาสุรากลับมาที่บ้านจำเลยเคาะประตูเรียกภรรยาจำเลยอ้างว่าลืมหมูไว้ จำเลยเปิดประตูออกมาบอกว่าหมูไม่มีและไม่ยอมให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้านผู้เสียหายได้ชกเตะต่อยจำเลยแล้วเกิดต่อสู้กัน ผู้เสียหายใช้ขวดสุราตีและถีบจำเลยล้มลง จำเลยวิ่งเข้าไปเอามีดในครัวมาแทงผู้เสียหายเห็นได้ว่าขณะที่จำเลยใช้มีดแทง ผู้เสียหายมิได้ก่อภัยอันใดขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันตัว
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง เท่ากับอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษและคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษไปในตัว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามที่เห็นสมควรได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบด้วยมาตรา 215
กรณีจะเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)หรือไม่ต้องพิจารณาจากผลของการทำร้ายว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่มิใช่ต้องพิจารณาเฉพาะจากบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นชัด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเจ็บที่ท้องจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายสาหัสแล้ว
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลฎีกาก็พิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้.
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง เท่ากับอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษและคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษไปในตัว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษตามที่เห็นสมควรได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบด้วยมาตรา 215
กรณีจะเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8)หรือไม่ต้องพิจารณาจากผลของการทำร้ายว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่มิใช่ต้องพิจารณาเฉพาะจากบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นชัด เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเจ็บที่ท้องจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายสาหัสแล้ว
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์มีเหตุสมควรรอการลงโทษ ศาลฎีกาก็พิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกาย การป้องกันตัว การพิจารณาอันตรายสาหัส และการรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือน ปรับ 1,000 บาทโทษจำคุกรอไว้ 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุก1 ปี จำเลยฎีกาว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้เสียหาย เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีจึงต้องห้าม ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6 วันเกิดเหตุเวลา 11 นาฬิกา ผู้เสียหายไปที่บ้านจำเลยเพื่อ ปรับความเข้าใจกับจำเลยถึง เรื่องที่ผู้เสียหายถูก หาว่าเป็นชู้ กับภริยาจำเลยระหว่างที่จำเลยไปทำงานต่างประเทศประมาณ 10 นาที ก็กลับไป เวลา 15 นาฬิกา วันเดียวกันผู้เสียหายเมาสุรากลับมา ที่บ้านจำเลยเคาะประตูเรียกภรรยาจำเลยอ้างว่า ลืมหมูไว้ จำเลย เปิดประตูออกมาบอกว่าหมูไม่มีและไม่ยอมให้ผู้เสียหายเข้าไปในบ้าน ผู้เสียหายจึงได้ ชกเตะ ต่อย จำเลยแล้วเกิดการต่อสู้ กัน ผู้เสียหาย ใช้ ขวดสุราตี และถีบ จำเลยล้มลง จำเลยวิ่งเข้าไปเอามีดในครัว มาแทงผู้เสียหาย ดังนี้ ขณะที่จำเลยใช้ มีดแทงไม่ปรากฏว่าผู้เสียหาย ได้ ก่อภัยอันใด ขึ้นที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัว การที่จำเลย ใช้มีดแทงผู้เสียหายจึงไม่เป็นการป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมาย การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยฐาน ทำร้าย ร่างกายและรอการลงโทษไว้เป็นลงโทษจำเลย ฐาน พยายาม ฆ่า ผู้อื่นตาม ที่โจทก์ฟ้อง เท่ากับเป็นการอุทธรณ์ขอให้ เพิ่มโทษและคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้รอการลงโทษไปในตัว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะใช้ ดุลพินิจ กำหนดโทษตาม ที่เห็นสมควรได้การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษ จึงหาได้ ฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.อ.มาตรา 192 ประกอบด้วย มาตรา 215 ไม่ การจะเป็นอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297(8) หรือไม่ต้อง พิจารณาจากผลของการทำร้ายว่าเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำต้องทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วย อาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตาม ปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันหรือไม่ มิใช่ต้อง พิจารณาเฉพาะ จากบาดแผลที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนภายนอก เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเจ็บที่ท้องจนประกอบกรณียกิจ ตาม ปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ย่อมถือ ว่าผู้เสียหายได้ รับอันตรายสาหัสแล้ว แม้เป็นคดีที่ฎีกาได้ เฉพาะ ปัญหาข้อกฎหมาย แต่ ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะพิพากษาลงโทษจำเลยให้เหมาะสมแก่ความผิดได้ เหตุที่เกิดขึ้นเพราะผู้เสียหายเป็นฝ่ายรุกรานก้าวร้าวก่อเหตุขึ้นก่อนส่วนจำเลยซึ่ง ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อนถูก ขังในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นถึง 1 เดือน เศษ เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกตัวกลัวผิดแล้ว ทั้งผู้เสียหายก็ไม่ประสงค์จะเอาเรื่องกับจำเลย กรณีจึงสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษคดีพนันเล็กน้อย พิจารณาจากพฤติการณ์และโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี
แม้จะมีผู้เข้าร่วมเล่นการพนันเป็นจำนวนมาก แต่ เงินของกลางมีเพียง 23 บาท แสดงว่าเป็นการเล่นพนันกันครั้งละเล็ก ๆ น้อย ๆและยังมีเหตุน่าเชื่อว่าการเล่นการพนันกันดังกล่าวเป็นการเล่นพนันกันในระหว่างบรรดาผู้ที่ไปช่วย งานฌาปนกิจ ศพมารดาของจำเลยที่ 1ทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 15 ต่าง มีการงานทำเป็นหลักแหล่ง และไม่ ปรากฏว่าเคยต้อง โทษจำคุกมาก่อนอยู่ในวิสัยที่จะกลับตน เป็นพลเมือง ดีได้ เป็นเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลยทั้งสองดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1876/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาโทษคดีพนัน: ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษได้ แม้โจทก์มิได้นำสืบภัยร้ายแรงต่อสังคม และพิจารณาเหตุปรานีจำเลยได้
การกระทำความผิดใด เป็นภัยร้ายแรงต่อ ส่วนรวมหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันอยู่ทั่วไป โจทก์มิต้องนำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา84(1) ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 และสภาพความผิด ดังกล่าวศาลอาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยประกอบการพิจารณาลงโทษจำเลยได้ การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ ดุลพินิจ กำหนดโทษจำคุกจำเลยเสียใหม่ถือ ได้ ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ตลอดจนคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยประกอบกันด้วย แล้ว ไม่จำเป็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้อง หยิบยกเอาคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยขึ้นมาว่ากล่าวให้ปรากฏรายละเอียดประการอื่นโดยเฉพาะ แต่ ประการ ใด จำเลยเปิดร้านขายอาหารและของชำ มีบุตรผู้เยาว์ 2 คนต้องอุปการะเลี้ยงดู โพยสลากกินรวบมี 6 แผ่น และเป็นรายย่อย ๆเงินสดของกลางที่ยึดได้ มีเพียง 80 บาท จึงไม่ใช่เป็นการพนันรายใหญ่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปรานีให้รอการลงโทษจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สลากกินแบ่งปลอมเพื่อหวังผลประโยชน์ แม้จะเป็นเงินจำนวนน้อย ศาลพิจารณาโทษโดยคำนึงถึงอายุและสถานะนักศึกษา
จำเลยนำสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มีการแก้ไขหมายเลขหลักร้อยจากหมายเลข "8" เป็นหมายเลข "0" มาขอรับรางวัลจากผู้เสียหายโดย สลากกินแบ่งดังกล่าวมีร่องรอยการแก้ไขสามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่า เป็นการกระทำความผิดฐาน ใช้ เอกสารสิทธิปลอม แต่ เนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นเพียงเพื่อต้องการจะได้ เงินรางวัลเลขท้ายซึ่ง เป็นเงินจำนวนเล็กน้อย มิได้เป็นเรื่องร้ายแรงนัก ทั้ง จำเลยกระทำผิดในขณะที่อายุเพียง 22 ปี เป็นครั้งแรกและขณะ ยังเป็นนักศึกษาอยู่สมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัว ประพฤติตน เป็นพลเมืองดี ต่อไป โดย ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1367/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเครื่องหมายการค้าและการตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาพิจารณาความร้ายแรงและเหตุผลในการรอการลงโทษ
จำเลยตั้ง โรงงานใช้ เครื่องจักรมีกำลังรวมทั้งหมดเป็นจำนวนถึง 52.2 แรงม้า ใช้ คนงานถึง 50 คน ทำการปลอมเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นรวม 3 ราย ทำการผลิตเสื้อผ้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ถือ ได้ ว่าเป็นความผิดร้ายแรง ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยว่ากระทำการปลอมเครื่องหมายการค้ามีชื่อ สำหรับกระดุม และพลาสติกสำหรับใช้แขวน ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ จึงริบกระดุมและพลาสติกสำหรับใช้ แขวนของกลางที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวไม่ได้ ส่วนผ้าที่ตัด เป็นตัว เสื้อแล้ว แต่ยังไม่ได้เย็บ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐาน ปลอมเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ผ้าดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการปลอมเครื่องหมายการค้า จึงไม่อาจริบได้ และการที่โจทก์ขอให้ริบสิ่งของอื่นอีกหลายรายการของกลางนั้น เพียงเท่านี้ไม่อาจทราบว่าของกลางคืออะไรบ้างและเกี่ยวกับการกระทำความผิดอย่างไร จึงไม่อาจริบได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารสิทธิเพื่อหลอกลวง และแจ้งความเท็จ ทำให้ผู้อื่นถูกกล่าวหาคดีอาญา
โจทก์ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าให้ภรรยาจำเลยที่ 1 ไว้จำเลยทั้งสามร่วมกันกรอกข้อความว่า โจทก์รับฝากเงินจากจำเลยที่ 1เพื่อนำไปซื้อ เครื่องรับโทรทัศน์สีและเครื่องวีดีโอ ให้จำเลยที่ 1 โดย ไม่ ได้รับความยินยอมจากโจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการปลอมแปลงเอกสารสิทธิ และจำเลยที่ 1 นำเอกสารดังกล่าวไปแจ้งความต่อ พนักงานสอบสวนว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐาน ใช้ เอกสารสิทธิปลอมด้วย จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปี เป็นนักเรียนอายุยังน้อย ส่วนจำเลยที่เป็นหญิงไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยที่ 2ที่ 3 ประพฤติตน เป็นพลเมืองดี ต่อไป โดย ให้รอการลงโทษ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพนันสลากกินรวบรายใหญ่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยการไม่รอการลงโทษ
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือผู้จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบซึ่ง เป็นการพนันที่มอมเมาประชาชนเป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจของชาติบ้านเมือง ของกลางที่ยึดได้ เป็นเงินสด1,650 บาท และใบโพย 13 แผ่น คิดเป็นจำนวนเงินถึง20,000 บาทเศษ แสดงว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้ามือรายใหญ่ศาลย่อมไม่รอการลงโทษจำเลย.