คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 78

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 394 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3337/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ลดโทษจากความพยายามช่วยเหลือและบรรเทาผลร้าย ไม่ริบของกลาง
จำเลยให้ผู้ตายดื่มสารพิษที่บ้านพักของผู้ตาย ความผิดอาญาที่จำเลยกระทำเกิดขึ้นที่บ้านพักของผู้ตาย ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของสถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง ส่วนที่ผู้ตายถึงแก่ความตายที่โรงพยาบาล พ. เป็นผลของการกระทำผิดความผิดอาญาได้เกิดในเขตอำนาจพนักงานสอบสวนคนใด โดยปกติให้เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนความผิดนั้น ๆ เพื่อดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคสาม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองมีอำนาจสอบสวน
ถ้วยกาแฟและช้อนกาแฟของกลางเป็นของใช้ประจำบ้านผู้ตายส่วนสารพิษของกลางเป็นทรัพย์สินของโรงพยาบาล ร. มิใช่ทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าทำหรือมีไว้เป็นความผิด จึงมิใช่ทรัพย์ที่ต้องริบเสียทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
จำเลยเป็นผู้นำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลและพยายามบอกความจริงให้แพทย์ผู้รักษาทราบว่าผู้ตายกินสารพิษโคลชิซินเพื่อแพทย์จะได้รักษาผู้ตายได้ถูกต้องทั้งจำเลยให้ผู้ตายรับประทานเม็ดคาร์บอนเพื่อช่วยดูดซึมสารพิษในร่างกายของผู้ตายให้หมดไป แสดงว่าจำเลยได้พยายามช่วยชีวิตผู้ตายอย่างเต็มความสามารถประกอบกับจำเลยได้ออกค่ารักษาพยาบาลผู้ตายตลอดมาโดยมุ่งหมายให้ผู้ตายรอดชีวิตอันเป็นการพยายามบรรเทาผลร้าย จึงมีเหตุอันควรปรานีลงโทษสถานเบา
จำเลยรับราชการที่โรงพยาบาล ร. ตั้งแต่ 2525 ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ 5 แสดงว่าจำเลยมีคุณงามความดีมาก่อน จำเลยกระทำผิดเนื่องจากความหึงหวงผู้ตายที่ไปมีหญิงอื่น หลังจากเกิดเหตุจำเลยพยายามบรรเทาผลร้ายอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวเป็นคนดีโดยรอการลงโทษจำคุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6972/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปลูกสร้างสิ่งล้ำน้ำและการลงโทษปรับตาม พ.ร.บ.เดินเรือฯ ศาลฎีกายืนโทษปรับและคำสั่งรื้อถอน
ความผิดตามพระราชบัญญัติ การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456มาตรา 117ต้องระวางโทษปรับตามมาตรา 118 โดยคำนวณตามพื้นที่ของอาคารหรือสิ่งอื่นใดในอัตราไม่น้อยกว่าตารางเมตรละห้าร้อยบาท แต่ไม่เกินตารางเมตรละหนึ่งหมื่นบาทจำเลยปลูกสร้างอาคารเป็นสะพานทางเดินและทำเป็นศาลาท่าน้ำล่วงล้ำเข้าไปเหนือน้ำในน้ำ ของทะเลสาบเป็นเนื้อที่ 143.32 ตารางเมตร การที่ศาลล่างลงโทษปรับจำเลย 214,980 บาท เมื่อลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 แล้งคงปรับ 107,490 บาทเป็นการปรับโดยคำนวณตามพื้นที่ตารางเมตรละ 1,500 บาท นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทยฯ มาตรา 118 ทวิ ที่แก้ไขแล้วเป็นการกำหนดวิธีการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่ปลูกสร้างขึ้นโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าท่าเท่านั้นไม่ใช่บทบัญญัติซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตามฟ้อง ดังนั้น แม้ฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าเจ้าท่ามีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนหรือแก้ไขสิ่งปลูกสร้างแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5368/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาอาญา: การพิจารณาโทษฐานฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่า และการลดโทษจากคำรับสารภาพ
ความผิดฐานมีและพาอาวุธติดตัวไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้เป็นไม่ลดโทษให้จำเลยทุกข้อหา จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้ เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยกับพวกพบผู้ตายและผู้เสียหายโดยบังเอิญที่ปั๊มน้ำมัน โดยต่าง ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน และขณะเติมน้ำมันรถไม่ปรากฏว่าจำเลย กับพวกเกิดทะเลาะโต้เถียงกับผู้ตายและผู้เสียหายแต่อย่างใด แม้จำเลยจะให้การว่าเมื่อจำเลย ถามพวกว่าจะเอาอย่างไร จะยิงยางแล้วจี้ใช่ไหม พวกบอกว่าให้ยิงคนขับทิ้งก็เป็นการตกลง เพื่อความสะดวกในการจะชิงทรัพย์ อันเป็นการมุ่งกระทำต่อทรัพย์นั้นเอง พฤติการณ์ตาม รูปคดียังไม่หนักแน่นมั่นคงพอจะฟังว่า จำเลยกับพวกฆ่าผู้ตายและพยายามฆ่าผู้เสียหาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลฎีกาให้ยกเอาคำให้การของจำเลยดังกล่าวขึ้นมารับฟังประกอบการวินิจฉัยคดี ถือว่าคำให้การของจำเลยนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดให้ และให้มีผลถึงความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนซึ่งต้องห้าม มิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ด้วย เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ข้ามชาติ เจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ปราบปรามแต่กลับให้ความช่วยเหลือ
แม้จำเลยที่ 3 มิได้อยู่ในฐานะเป็นตัวการในการปล้นเงินที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพราะขณะทำการปล้นจำเลยที่ 3 อยู่ที่ประเทศไทย แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ร่วมวางแผนปรึกษากับผู้ร่วมกระทำความผิดเพื่อจะไปปล้นเงินดังกล่าว และให้ความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการปล้นแก่ตัวการก่อนการกระทำความผิด ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 6 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 1 กับพวกลงเรือข้ามฝั่งไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไปปล้นเงินตามแผนการที่กำหนดไว้ ทั้งยังคอยอำนวยความสะดวกด้วยการไปรอรับโบกเสื้อคลุมให้สัญญาณภายหลังที่จำเลยที่ 1 กับพวกกระทำการปล้นเงินแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 6 ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แก่จำเลยที่ 1 กับพวกทั้งก่อนและหลังกระทำความผิด จำเลยที่ 6 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันปล้นธนาคารในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แล้วพาทรัพย์หนีเข้ามาในประเทศไทย คณะกรรมการปกครองกำแพงนครเวียงจันทน์ได้แต่งตั้งเจ้าพนักงานตำรวจมาสมทบกับเจ้าพนักงานตำรวจของไทยเพื่อติดตามคนร้ายพร้อมของกลางมาลงโทษตามกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้ได้รับการแต่งตั้งจากประเทศดังกล่าวได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดที่เป็นคนไทยต่อพันตำรวจเอก ส. หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดหนองคายแล้ว ดังนั้นพนักงานสอบสวนที่ได้รับแต่งตั้งจากพันตำรวจเอก ส. ให้ทำการสอบสวนคดีนี้ จึงถือเป็นพนักงานสอบสวนซึ่งรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ร้องฟ้องให้ทำโทษผู้ต้องหา มีอำนาจสอบสวนในระหว่างรอฟังคำสั่งจากอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนโดยต้องดำเนินการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหาย เมื่อต่อมาอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พลตำรวจตรี ห. เป็นพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ การสอบสวนที่พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ย่อมถือว่าเป็นการสอบสวนโดยชอบไม่ต้องคำนึงว่าพลตำรวจตรี ห. ได้ปฏิบัติเกี่ยวกับการสอบสวนมาแล้วหรือไม่เพียงใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
แม้เอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลมิได้ระบุไว้ในบัญชีพยานโจทก์อันไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาก็ตามแต่เอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลคดีนี้ โจทก์เพียงใช้ประกอบคำเบิกความของพยานบุคคลซึ่งได้ระบุไว้ในบัญชีพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 มีโอกาสซักค้านพยานบุคคลของโจทก์ที่เกี่ยวกับเอกสารทุกฉบับที่โจทก์อ้างส่งศาลได้อยู่แล้ว ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 เสียเปรียบหรือหลงผิดในการต่อสู้คดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานเอกสารเช่นว่านี้ได้เพราะเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาโทษฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและพยายามฆ่า แม้จำเลยรับสารภาพ แต่พยานหลักฐานมีน้ำหนักมั่นคง ศาลไม่ลดโทษ
เหตุเกิดเวลาเช้า บริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่โล่งผู้เสียหายเป็นญาติจำเลยรู้จักกันมาเป็นเวลา 10 ปีเศษในระยะห่างกันเพียง 11 เมตร ผู้เสียหายย่อมจะเห็นและจดจำ จำเลยได้นอกจากนี้หลังจากนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาลแล้ว ผู้เสียหายก็โทรศัพท์แจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้าย วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายได้พาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยและคงยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายตลอดมา ทั้งยังได้ความว่า ขณะนำตัวผู้ตายส่งโรงพยาบาลผู้ตายก็บอกผู้เสียหายว่า จำเลยเป็นคนยิง พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคง รับฟังได้แน่ชัดปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนคำรับสารภาพ ในชั้นศาลของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา แต่อย่างใด นอกจากนี้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็มิได้ ให้การรับสารภาพเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้สำนึกผิด ในการกระทำ การที่จำเลยเพิ่งจะมาให้การรับสารภาพภายหลัง ในชั้นศาลแสดงให้เห็นว่าเพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน ประกอบกับ พฤติการณ์แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรงและโหดเหี้ยม กรณีจึง ไม่เป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานแน่นหนา ไม่เข้าเหตุบรรเทาโทษ ฎีกาไม่รับ
โจทก์มีพยานแวดล้อมกรณีมาสืบอย่างมั่นคงปราศจากสงสัยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบเสื้อผ้าของจำเลยที่จำเลยสวมใส่ ขณะเกิดเหตุมีคราบโลหิตมนุษย์ติดอยู่ และผลการตรวจพิสูจน์ พบรอยนิ้วมือของจำเลยที่ขาเก้าอี้ที่ใช้เป็นอาวุธตีทำร้ายผู้ตาย กับพบเส้นผมของจำเลยติดอยู่ที่คราบโลหิตตรงขาของ ผู้ตายทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังตรวจพบรอยขีดข่วนและ รอยถลอกใหม่ที่บริเวณแขนและนิ้วมือทั้งสองข้างของจำเลย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิด ความผิดอื่นของตน ซึ่งลำพังแต่พยานโจทก์ที่นำสืบมาก็เพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยรับสารภาพก็เพราะ เกิดจากจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่เป็นประโยชน์แก่ การพิจารณาแต่อย่างใด ไม่มีเหตุบรรเทาโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบกับพฤติการณ์ แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงไม่สมควรลดโทษให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานนำเข้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ฯ เป็นกรรมเดียว ลดโทษตามเหตุปรานี
เฮโรอีนของกลางทั้งหมดแต่ละก้อนถูกผสมด้วยฟีโนบาร์บิตาลและไดอาซีแพม ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 รวมอยู่ด้วย จึงเป็นวัตถุอันเดียว การที่ จำเลยมีและนำเข้าซึ่งเฮโรอีนและวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว เป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิด เพียงกรรมเดียว เหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78เพราะมีเหตุอันควรปรานี ไม่จำกัดเฉพาะที่บัญญัติไว้เท่านั้นเหตุอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันศาลก็อาจนำมาพิจารณาวินิจฉัยลดโทษให้ได้ พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยเดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรไทยนั้น ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าพนักงาน ของรัฐเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะไม่รู้หนังสือ และกฎหมายไทยไม่มีญาติพี่น้องที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือได้ จำเลยเป็นผู้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส และจำเลย ได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีเมื่อได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลขอแรงทนายความให้แก้ต่างให้ กรณีจึงมีเหตุอันควร ปรานีแก่จำเลย สมควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบกับมาตรา 53

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมกรรมความผิด - ลดโทษจำเลยตามมาตรา 78 เหตุจากความยากลำบากและสถานการณ์
ปัญหาว่า การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง นำเข้าซึ่งเฮโรอีน และนำเข้าซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 เป็นการกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง
เฮโรอีนของกลางแต่ละก้อนถูกผสมด้วยฟีโนบาร์บิตาลและไดอาซีแพมจึงเป็นวัตถุอันเดียว การที่จำเลยมีและนำเข้าซึ่งเฮโรอีนและวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ดังกล่าว เป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว
ศาลอุทธรณ์ได้ลดโทษให้แก่จำเลยหนึ่งในสามโดยอาศัยเหตุที่คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล โดยศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาปัญหาที่จำเลยเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาเพราะไม่รู้หนังสือไทยและกฎหมายไทย หรือตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสมาพิจารณาวินิจฉัยแต่การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวมาลดโทษให้จำเลยเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือเห็นว่าไม่ใช่เหตุที่จะลดโทษให้ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ดังนี้การที่ศาลไม่ได้ลดโทษให้จำเลยโดยเหตุดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยคลาดเคลื่อนต่อ ป.อ.มาตรา 78
พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าพนักงานของรัฐเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะจำเลยไม่รู้หนังสือและกฎหมายไทย ไม่มีญาติพี่น้องที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือได้ และจำเลยเป็นผู้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส ประกอบกับจำเลยได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีเมื่อได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลขอแรงทนายความให้แก้ต่างให้ กรณีจึงมีเหตุอันควรปรานีแก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานนำเข้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ ศาลพิจารณาโทษโดยคำนึงถึงเหตุบรรเทาโทษและพฤติการณ์จำเลย
ปัญหาว่า การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองนำเข้าซึ่งเฮโรอีน และนำเข้าซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4เป็นการกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง เฮโรอีนของกลางแต่ละก้อนถูกผสมด้วยพีโนบาร์บิตาลและไดอาซีแพม จึงเป็นวัตถุอันเดียว การที่จำเลยมีและนำเข้า ซึ่งเฮโรอีนและวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ดังกล่าวเป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว ศาลอุทธรณ์ได้ลดโทษให้แก่จำเลยหนึ่งในสามโดยอาศัย เหตุที่คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล โดยศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาปัญหา ที่จำเลยเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาเพราะไม่รู้หนังสือไทยและกฎหมายไทย หรือตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสมาพิจารณาวินิจฉัยแต่การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวมาลดโทษให้จำเลยเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือเห็นว่าไม่ใช่เหตุ ที่จะลดโทษให้ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ดังนี้ การที่ศาลไม่ได้ลดโทษให้จำเลยโดยเหตุดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยคลาดเคลื่อนต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าพนักงานของรัฐเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะจำเลยไม่รู้หนังสือและกฎหมายไทย ไม่มีญาติพี่น้องที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือได้ และจำเลยเป็นผู้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส ประกอบกับจำเลยได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีเมื่อได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลขอแรง ทนายความ ให้แก่ต่างให้ กรณีจึงมีเหตุอันควรปรานีแก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท - การผลิตและครอบครองอีเฟดรีนเพื่อขาย - ไม่เป็นฟ้องซ้ำ - คำรับสารภาพไม่เป็นประโยชน์
จำเลยผลิตอีเฟดรีนและมีอีเฟดรีนที่ได้ผลิตขึ้นตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อขาย เมื่ออีเฟดรีนที่จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันขายยาอีเฟดรีนผสมคาเฟอีนจำนวน 30,394 เม็ด อันเป็นยาแผนปัจจุบัน และเป็นยาอันตรายที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาตามกฎหมาย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 มาตรา4, 12, 72, 79, 101, 122, 126 ซึ่งแตกต่างจากคดีนี้ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตและขายอีเฟดรีน ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เป็นความผิดตามพ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 5, 6, 13 ทวิ,62, 89, 106, 116 อันมีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกัน และของกลางก็เป็นคนละจำนวนกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
เมื่อโจทก์มีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร รวมทั้งวัตถุพยานพอรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม คำรับของจำเลยก็ไม่เป็นประโยชน์แก่ศาลในการพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ
of 40