พบผลลัพธ์ทั้งหมด 476 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานมีอาวุธและพยายามฆ่า โดยศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องได้หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ
ฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ยื่นเกินกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยขว้างลูกระเบิดเพื่อพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ และข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังว่าจำเลยมีลูกระเบิดศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยขว้างลูกระเบิดเพื่อพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ และข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังว่าจำเลยมีลูกระเบิดศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานมีอาวุธปืน, ลูกระเบิด, และพยายามฆ่า โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ไม่เพียงพอต่อการรับฟัง
ฎีกาเพิ่มเติมของจำเลยที่ยื่นเกินกำหนด ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีลูกระเบิดไว้ในครอบครองแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยขว้างลูกระเบิดเพื่อพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่และข้อเท็จจริงไม่พอรับฟังว่าจำเลยมีลูกระเบิด ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนี้ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่าจำเลยพยายามฆ่า ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่า แม้จำเลยจะฎีกาเรื่องโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดข้อหาพยายามฆ่าด้วย จำเลยฎีกาเพียงว่าศาลอุทธรณ์กำหนดโทษรุนแรงเกินไป ดังนี้ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยในความผิดข้อหาพยายามฆ่าแล้ว ก็มีอำนาจยกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225 ส่วนข้อหาตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ นั้น ปรากฏว่า โจทก์จำเลยต่างไม่อุทธรณ์จึงเป็นยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยในความผิดดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหลังถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนคนญวนอพยพ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.คนเข้าเมือง
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15,215,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตอยู่ชั่วคราวและการกระทำความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15,215,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและการกระทำความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15,215,225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3683/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดการอนุญาตอยู่ชั่วคราวและการเป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้เป็นการชั่วคราวโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนญวนอพยพ ต่อมาจำเลยหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองมาตรา 39 ให้ถือว่าการได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเป็นอันสิ้นสุด ดังนี้เมื่อจำเลยกลับเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอีกก็ต้องเป็นความผิดตามมาตรา 81 การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายมีคำสั่งอนุมัติให้ถอนชื่อจำเลยจากทะเบียนญวนอพยพ คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะการถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนญวนอพยพกับการอนุญาตถูกเพิกถอนเป็นคนละกรณีกัน ฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15, 215, 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2852/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย แม้ไม่เป็นเจ้าของก็มีความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
การครอบครองโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน เป็นเรื่องการได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษเป็นเรื่องความรับผิดอาญา คำว่า มีไว้ในครอบครอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษ จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไป ซึ่งหมายความว่ายาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยโดยจำเลยรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเท่านั้น ส่วนการมีเจตนายึดถือเพื่อตนหรือไม่เพียงใดนั้นไม่ใช่ข้อพิจารณาเด็ดขาดว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ
จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาหนักเกินกว่า 10 กิโลกรัม ที่บ้านของจำเลย แม้กัญชาดังกล่าวจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุกัญชาลงในถุงพลาสติกและกระสอบ จำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชา คงลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.
จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาหนักเกินกว่า 10 กิโลกรัม ที่บ้านของจำเลย แม้กัญชาดังกล่าวจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุกัญชาลงในถุงพลาสติกและกระสอบ จำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชา คงลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2852/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย แม้ไม่ใช่เจ้าของก็ผิดได้ ความผิดฐานครอบครองไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้มีเจตนาเป็นเจ้าของ
การครอบครองโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน เป็นเรื่องการได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษเป็นเรื่องความรับผิดอาญา คำว่า มีไว้ในครอบครอง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติให้มีความหมายพิเศษ จึงต้องถือว่ามีความหมายทั่วไป ซึ่งหมายความว่ายาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือปกครองดูแลของจำเลยโดยจำเลยรู้ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเท่านั้น ส่วนการมีเจตนายึดถือเพื่อตนหรือไม่เพียงใดนั้นไม่ใช่ข้อพิจารณาเด็ดขาดว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ
จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาหนักเกินกว่า 10 กิโลกรัม ที่บ้านของจำเลย แม้กัญชาดังกล่าวจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุกัญชาลงในถุงพลาสติกและกระสอบ จำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชา คงลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.
จำเลยรับจ้างปลิดใบกัญชาหนักเกินกว่า 10 กิโลกรัม ที่บ้านของจำเลย แม้กัญชาดังกล่าวจะไม่ใช่ของจำเลย ก็ถือได้แล้วว่าจำเลยมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้แบ่งบรรจุหรือรวมบรรจุกัญชาลงในถุงพลาสติกและกระสอบ จำเลยเป็นผู้ผลิตและร่วมกับผู้อื่นผลิตกัญชา แต่ไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานผลิตกัญชา คงลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงไม่เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ
จำเลยให้การต่อสู้คดีในแนวเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ถูกจับกุมจนกระทั่งถึงชั้นพิจารณาคดี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องฎีกาไม่ถูกต้องตามรูปแบบและขาดการโต้แย้งข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมาย ศาลฎีกายกคำร้อง
ฟ้องฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้เรียง เป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7), 215, 225 ซึ่งจะต้องจัดการให้ถูกต้องเสียก่อน แต่เมื่อฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไรไว้โดยชัดเจน เพียงแต่อ้างว่ายังไม่ทราบเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมาเท่านั้น เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง, 195, 225 อันจะพึงรับไว้วินิจฉัย คดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อจัดการให้มีการลงชื่อผู้เรียงให้ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลย.