คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 215

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 476 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่สมบูรณ์ (ไม่มีลายมือชื่อ) และการโต้แย้งคำพิพากษาที่ไม่ชัดเจน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้เรียง จึงเป็นฟ้องฎีกาที่ไม่ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(7),215,225 ซึ่งจะต้องจัดการให้ถูกต้องเสียก่อน แต่เมื่อปรากฏว่าฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไรไว้โดยชัดเจน เพียงแต่อ้างว่ายังไม่ทราบเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมาเท่านั้น จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรค 2,195,225 อันจะพึงรับไว้วินิจฉัย คดีจึงไม่มีเหตุที่จะส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อจัดการให้มีการลงชื่อผู้เรียงให้ถูกต้อง ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1341/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องฎีกาไม่ถูกต้องตามรูปแบบและขาดการโต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกายกคำร้อง
ฟ้องฎีกาจำเลยไม่มีลายมือชื่อผู้เรียง เป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(7),215,225 ซึ่งจะต้องจัดการให้ถูกต้องเสียก่อน แต่เมื่อฎีกาจำเลยมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไรไว้โดยชัดเจน เพียงแต่อ้างว่ายังไม่ทราบเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษมาเท่านั้น เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง,195,225 อันจะพึงรับไว้วินิจฉัย คดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อจัดการให้มีการลงชื่อผู้เรียงให้ถูกต้องศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4172/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็ค: ผู้สลักหลังไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คหากไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับผู้ออกเช็ค และโจทก์ต้องพิสูจน์ว่ามีเงินในบัญชี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คมิใช่ผู้ออกเช็ค โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คอย่างไร การกระทำของจำเลยที่ 2 ตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คส่วนจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเช็คให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ให้ประทับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าในวันออกเช็คจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็คพิพาทหรือไม่ เป็นสาระสำคัญแห่งคดีที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าคดีโจทก์มีมูลเป็นความผิดหรือไม่ แม้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็ต้องนำสืบให้ปรากฏถึงความข้อนี้ เมื่อโจทก์นำสืบแต่เพียงว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการออกเช็คโดยเจตนา ที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การพิจารณาผู้เสียหายและมูลความผิด
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อที่จะนำมาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่า คดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้น คดีโจทก์ไม่มีมูล ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบกับมาตรา 215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การวินิจฉัยผู้เสียหายและมูลคดีจากการไต่สวนมูลฟ้อง
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณา ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เพื่อที่จะนำมาวินิจฉัย ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะ พิจารณาต่อไปว่า คดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณา ได้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้น คดีโจทก์ไม่มีมูลศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบกับมาตรา 215

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3875/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีอาญา: การวินิจฉัยสถานะผู้เสียหายและมูลฟ้องจากข้อเท็จจริงเดิม
ในคดีที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อที่จะนำมาวินิจฉัยปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายหรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณาต่อไปว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่เมื่อเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏจากการไต่สวนมูลฟ้องนั้นคดีโจทก์ไม่มีมูลศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบกับมาตรา215.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2485/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาชี้ว่าการขับรถฝ่าไฟแดงและประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียว โทษตามบทหนัก
ข้อหาขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย500บาทซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดต้้งศาลแขวงฯมาตรา22จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถไปทางตรงในขณะที่มีไฟเขียวมิได้ขับรถฝ่าไฟแดงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้. ความผิดฐานขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรและขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหายเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทคือพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา22,43,152,157ลงโทษตามมาตรา43,157ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด.(ที่มา-เนติฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2485/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาตัดสินคดีขับรถฝ่าไฟแดง ประมาท ชนเสียหาย ศาลฎีกาพิพากษายืนตามฟ้อง
ข้อหาขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย500บาทซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดต้้งศาลแขวงฯมาตรา22จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถไปทางตรงในขณะที่มีไฟเขียวมิได้ขับรถฝ่าไฟแดงเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวแต่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้และพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้. ความผิดฐานขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรและขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถอื่นเสียหายเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทคือพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯมาตรา22,43,152,157ลงโทษตามมาตรา43,157ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด.(ที่มา-เนติฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1699/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกเคหสถานและการพยายามฆ่าเพื่อขัดขวางการถูกขัดขวางเอาทรัพย์คืน แม้มีเหตุผลในการเข้าไป แต่การกระทำต้องไม่เป็นอันตราย
แม้จำเลยจะได้จำนำรถจักรยานของจำเลยไว้กับผู้เสียหายจำเลยก็ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะลักลอบเข้าไปเอารถจักรยานดังกล่าวในบ้านของผู้เสียหายในเวลา 5.30 น. จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุก
จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายเพื่อเอารถจักรยานของจำเลย เมื่อผู้เสียหายส่องไฟฉายมาที่จำเลย จำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแล้วจึงเอารถจักรยานไป พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่แน่ชัดว่าจำเลยกระทำไปเพื่อปกปิดความผิดฐานบุกรุก จำเลยอาจยิงผู้เสียหายเพื่อไม่ให้ผู้เสียหายขัดขวางการเข้าไปเอารถจักรยานของจำเลยในบ้านผู้เสียหายก็ได้ แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงความผิดในส่วนนี้ของจำเลย จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ประกอบกับมาตรา 80 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1450/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาจากบาดแผลและอาวุธที่ใช้
จำเลยใช้มีดขนาดยาว 8 นิ้ว กว้าง 2 นิ้วแทงผู้เสียหายถูกที่หัวไหล่ 2 แผล โดยไม่ปรากฏว่าตั้งใจเลือกแทงอวัยวะสำคัญ บาดแผลที่หนึ่งขนาด 6 คูณ 2 เซนติเมตรลึกทะลุแขน ส่วนแผลที่สองขนาด 3 คูณ 1 เซนติเมตรแผลทะลุ ผู้เสียหายรักษาตัวที่โรงพยาบาล 10 วัน และไม่สามารถประกอบกรณียกิจโดยปกติอีก 2 เดือน เช่นนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ไม่ได้
of 48